22 ธ.ค. 2561

Attack on titan Fanfic.[H.B.D Levi x Eren Projects.] Signal_01

Signal.


            บทที่ : 01



          เสียงดังคล้ายคนกำลังทะเลาะกันที่แว่วมาจากหน้าบ้านทำให้เอเลน จำต้องวางหนังสือที่กำลังอ่านลง แล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงไปยังชั้นล่างแทบจะทันที แล้วสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าก็ทำให้ใบหน้ามนถอนหายใจออกมาอย่างปลงๆ ก่อนจะยืนกอดอกพิงประตูมองภาพตรงหน้าโดยไม่คิดจะเข้าไปห้ามปราม เพราะคนตรงหน้าเขาไม่ได้มีแขกที่ไม่ได้รับเชิญ หรือกำลังตบตีกับใคร หากแต่กำลังโวยวายผ่านโทรศัพท์มือถืออย่างที่เกิดขึ้นเป็นประจำต่างหาก

          "พอที! คุณเป็นคนทิ้งฉันกับลูกไปเองนะ แล้วตอนนี้ยังจะมาวุ่นวายกับพวกเราทำไมอีก?"

          "ทะเลาะกับพ่ออีกแล้วเหรอฮะ?"  ใบหน้ามนเอ่ยขึ้นยิ้มๆ หลังจาก 'เบลล่า' แม่เลี้ยงของเขากดวางสายโทรศัพท์มือถือแล้วโยนมันทิ้งไปบนโซฟาอย่างไร้ความปราณี

          "เรื่องเดิมๆน่ะ แม่ไม่อยากพูดถึง มันควรจะจบได้แล้ว"

          "ผมเข้าใจ เอาไว้ผมจะไปคุยกับพ่อเองนะครับ"

          "เอเลน"  เบลล่าเดินมาสวมกอดลูกชายของเธอ ถึงแม้ว่าเอเลนจะไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของเธอจริงๆ แต่ความรักที่เธอมีให้เขานั้นไม่ได้น้อยไปกว่าลูกชายแท้ๆของเธอเลย ทว่ายังไม่ทันที่ทั้งคู่จะทันได้คุยอะไรกันไปมากกว่านั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง หากแต่คราวนี้เป็นเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์บ้านไม่ใช่เบอร์มือถือ ทำให้ผู้เป็นแม่จำต้องผละออกไปรับสายอย่างช่วยไม่ได้

          "ของลูกน่ะ"  เธอหันกลับมาบอกเอเลนด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวล หลังจากยกหูคุยกันไปได้ไม่กี่ประโยคทำให้ใบหน้ามนขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะเดินไปรับสาย

          "เอเลนพูดครับ"

          'ฉันพยายามโทรเข้ามือถือนายแล้วแต่ไม่มีคนรับ ฉันอยากให้นายมาที่นี่ตอนนี้!'  เป็น 'แจน กิลล์ชูไตน์' ที่โทรมา ไม่มีการเกริ่นนำอย่างสุภาพ ไม่มีคำว่าร้องขอหรือรบกวนรึเปล่า? อะไรเทือกนั้น แจนเป็นตัวของตัวเองอย่างสุดๆ ซึ่งเอเลนก็ตอบกลับไปห้วนๆเช่นเดียวกัน

          "ตอนนี้ไม่ใช่เวรฉัน"

          'ฟังนะเอเลน มิคาสะพาคนไปสามทีม ฉันเป็นคนคุมคดีนี้ก็จริงแต่คนเราไม่พอ ฉันต้องการให้นายเอ่อ...ช่วย'

          "...โอเค โทรเข้ามือถือฉันก็แล้วกัน"  ใบหน้ามนดูจะอึ้งไปเล็กน้อยที่ถูกคู่รักคู่แค้นอย่างหมอนั่นขอร้องให้ช่วย แต่เจ้าตัวเองก็รู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาเล่นลิ้น เมื่อมันต้องสุ่มเสี่ยงต่อชีวิตของคน

          "มีเรื่องเกิดขึ้นใช่มั้ยเอเลน?"  เบลล่าถามขึ้นเมื่อลูกชายของเธอวางสายลง เธอรู้ดีว่าเอเลนทำงานอะไร และมันทำให้เธอกังวลทุกครั้งที่ลูกชายของเธอถูกเรียกตัวออกไปแบบปุ่บปั่บเช่นนี้

          "ก็เหมือนทุกวันแหละฮะ เพราะเมืองนี้ไม่เคยหลับ"  ใบหน้ามนหันมายิ้มให้ผู้เป็นแม่ก่อนจะรีบวิ่งขึ้นห้องไป เป็นจังหวะเดียวกันที่มือถือของเขามีสายเรียกเข้าพอดี แน่นอนว่าเป็นสายจากแจนนั่นเอง

          "ว่ามา"  เจ้าตัวกดรับสายแล้วหนีบมือถือไว้กับหัวไหล่ฟังรายงานจากฝ่ายตรงข้ามขณะหยิบโค้ทตัวเก่งมาสวม โดยไม่ลืมที่จะคว้าเอาปืนพกและตราประจำตัวใส่กระเป๋าเสื้อโค้ทไปด้วย

         'เกิดเหตุฆาตกรรมสามศพ พยานที่เห็นเหตุการณ์ช็อกจนให้ข้อมูลอะไรไม่ได้ ลองให้อาร์มินพยายามคุยดูแล้ว แต่หมอนั่นบอกคุยกับศพยังง่ายกว่าคุยกับเด็กน่ะ...'  ก็แหงล่ะ หมอนั่นเป็นแพทย์นิติเวชนี่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่จากศูนย์พิทักษ์เด็กซะหน่อย เอเลนคิดขำๆ แต่ในวินาทีถัดมาสีหน้าของเจ้าตัวก็ดูเคร่งเครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

          "เดี๋ยวนะ! นายพูดว่าเด็กเหรอ?"

          'ใช่ สิบเอ็ดหรือสิบสองขวบ เขาเป็นคนเดียวที่รอดมาได้'

          "บอกที่อยู่มา ฉันจะไปเดี๋ยวนี้!"

          'จตุรัสกลางเมือง แต่ตอนนี้รถนักข่าวจอดเต็มหมดแล้ว นายคงต้องเดินไกลหน่อย'

          "โอเค"  เลคซัสคู่ใจของเขาพุ่งตัวออกจากโรงจอดรถทันทีที่วางสายจากแจน ดวงตาสีเขียวมรกตทอปรระกายแข็งกร้าวขึ้นมาชั่วขณะหนึ่งก่อนจะแปลเปลี่ยนเป็นความมัวหมองเวลาในถัดมา ความรู้สึกของเขามักจะอ่อนไหวทุกครั้งที่มีเด็กเข้ามาเกี่ยวข้อง แม้จะไม่อยากพูดถึงแต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันทำให้เขาหวนคิดถึงเรื่องที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเองเมื่อครั้งในอดีต



           เลคซัสสีดำของเอเลนจอดห่างจากจตุรัสกลางเมืองไปสองช่วงตึก ก่อนเจ้าตัวจะตัดสินใจเดินผ่านตรอกเล็กๆอ้อมไปด้านหลังเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับพวกนักข่าวทางด้านหน้าของสถานที่เกิดเหตุ ใช้เวลาไม่นานนักเอเลนก็เดินมาถึงประตูทางเข้าที่ด้านหลัง ตรงนั้นมีตำรวจสายตรวจสองสามนายกำลังเดินตรวจสอบรอบๆบริเวณไปพร้อมกับเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน โดยมีตำรวจอีกนายยืนเฝ้าประตูที่คาดเทปสีเหลืองกั้นเอาไว้

          มือบางชูตราประจำตัวของตัวเองให้สายตรวจที่เฝ้าประตูดูพอเป็นพิธี เพราะอีกฝ่ายรู้อยู่แล้วว่าเขาคือใคร เอเลนยืนรอจนกระทั่งฝ่ายนั้นทำเครื่องหมายตรงหน้าชื่อของตัวเองถึงลอดแถบเส้นกั้นสีเหลืองเข้าไป

          "หมวดแจนรอคุณอยู่ด้านใน ผมจะนำทางไปนะครับ"  สายตรวจคนเดิมกล่าว ก่อนจะกวักมือเรียกเพื่อนร่วมทีมของตนมายืนเฝ้าประตูทางเข้าแทน เอเลนเอ่ยขอบคุณเบาๆ ขณะเงยหน้ามองบ้านอิฐแดงสี่ชั้นหลังงาม

          "น่าจะซักสิบห้าหรือยี่สิบล้านได้นะ คุณว่าไหม?"  ใบหน้ามนทำเพียงแค่ยิ้มมุมปาก กับคำพูดของนายตำรวจหนุ่ม หากแต่กำลังคิดในใจว่านั่นมันราคาก่อนที่จะเกิดเหตุสลดนี้ขึ้นต่างหาก บางทีหลังจากนี้ราคาของมันอาจจะถูกเหมือนได้เปล่าเลยก็เป็นได้ ดวงตาสีเขียวมรกตจ้องมองหน้าต่างโค้งกว้างที่ยื่นออกมาจากตัวบ้านและหน้าจั่วที่สลักลวดลายหรูหราเหนือประตูด้วยสีหน้าที่ตึงเครียดขึ้นเล็กน้อย

          หลังประตูบานนั้นมีเรื่องสยดสยองเกิดขึ้น แม้ในใจของเขาจะพยายามต่อต้านแต่เอเลนก็จำเป็นต้องสร้างเกราะป้องกันขึ้นให้กับจิตใจของตัวเองและพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับมัน

          "หมวดแจนรอคุณอยู่ที่ชั้นสามฝั่งขวามือนะครับ"

         "ขอบคุณ"  ใบหน้ามนก้าวขาเดินขึ้นไปตามบันไดวนทอดสูงขึ้นไปสี่ชั้นจนถึงหลังคากระจกทรงโดม เสียงของใครบางคนกำลังคุยกันแว่วมาจากชั้นบนทำให้เจ้าตัวหยุดอยู่ระหว่างชั้นที่สองและสามก่อนเหลือบสายตามองหาเจ้าของเสียงนั้น แต่จากจุดที่เขายืนอยู่มองไม่เห็นอะไรเลย เสียงที่แว่วมาจึงไม่ต่างจากเสียงของภูติผีที่คอยเฝ้ามองเขาอยู่จากมุมใดมุมหนึ่งของบ้านหลังนี้

          ว่ากันว่าบ้านที่ผ่านกาลเวลามากว่าร้อยปี มักจะมีภูติผีสิงสู่เสมอ บรรยากาศในตอนนี้บวกกับเรื่องที่เกิดขึ้นจึงชวนให้จิตนาการของคนเราเตลิดไปได้ไกลอย่างไม่ยากเย็น

          "เหมือนแอบส่องชีวิตคนรวยเลยว่าไหม?"  เสียงของใครบางคนเอ่ยขึ้นขัดความคิด เอเลนจึงหันกลับไปตามเสียงนั้นและเห็นแจนยืนอยู่ตรงประตู

          "เราพาเด็กคนนั้นไปฝากไว้ที่บ้านข้างๆ เจ้าของบ้านรู้จักกับเด็ก ฉันคิดว่าคงดีกว่าถ้าเราคุยกับเด็กที่นั่น"

          "แต่ฉันต้องรู้ก่อนว่าเกิดอะไรขึ้นในบ้านหลังนี้"

          "นั่นเราก็หาคำตอบกันอยู่ เหยื่อเป็นคู่สามีภรรยาและลูกบุญธรรมอายุแปดขวบ"

          "พวกเขารวยจากอะไร?"

         "ไบรอัน โครว์ เคยเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ก่อนเกษียณตัวเองมาอยู่กับครอบครัว พวกเขาเป็นคนจิตใจดี ชอบทำการกุศล"

          "ถ้าแบบนั้นก็ไม่น่ามีศัตรูสิ"

          "นายเข้ามาดูเองดีกว่า"  แจนตัดบท ก่อนเดินนำเขาเข้าไปในห้องที่ตัวเองเพิ่งออกมา ชายหนุ่มพาเขาเดินตรงดิ่งไปยังห้องสมุด แล้วเอเลนก็พบหัวหน้าหน่วยของเขากับอาร์มินที่เป็นหมอนิติเวชประจำแผนกในห้องนั้น
 
          ห้องที่พวกเขายืนอยู่รายล้อมไปด้วยชั้นวางหนังสือไม้มะฮอกกะนีสูงจรดเพดาน หนังสือบนชั้นบางส่วนร่วงลงมากองกับพื้นซึ่งมีชายสูงอายุนอนคว่ำหน้าอยู่ แขนข้างหนึ่งพาดอยู่บนชั้น ราวกับจะเอื้อมมือคว้าหนังสือสักเล่มแม้ในยามใกล้หมดลมหายใจ

          "ดีใจที่มาได้หมวดเยเกอร์  พวกคุณจัดการตรงนี้ต่อก็แล้วกัน ผมมีเรื่องต้องทำนิดหน่อย"  เมื่อเห็นว่ามือดีของเขามากันพร้อมหน้าแล้ว สารวัตรฮาเนสที่เพิ่งวางสายจากใครบางคนก็ปลีกตัวออกจากห้องไปทันที

           "เราเจออะไรบ้างอาร์มิน?"

          "ก็เหมือนทุกที กระสุนพุ่งเข้าที่ขมับด้านซ้ายก่อนจะทะลุออก"

          "อาจจะเป็น .357 ก็ได้"  แจนพูด

          "หมายความว่านายยังหาปลอกกระสุนไม่เจอ?"

          "ใช่ มือปืนคงเก็บปลอกกระสุนไปด้วย แถมข้าวของพวกนี้แทบไม่มีอะไรอยู่ผิดที่ผิดทาง"  เอเลนกวาดสายตาสำรวจไปรอบๆห้อง เป็นจริงอย่างที่แจนพูด เพราะนอกจากหนังสือที่หล่นกองอยู่ข้างศพแล้ว ไม่มีร่องรอยของการต่อสู้ในห้องนี้เลย พวกนั้นคงลงมืออย่างรวดเร็วและไร้ซึ่งความลังเล

          "เรากำลังเจอกับมืออาชีพ แล้วคนอื่นในบ้านล่ะถูกฆ่าใกล้เคียงกับคุณโครว์รึเปล่า? หรือช้ากว่า?"
          "ฉันบอกได้แค่คร่าวๆ แต่ถ้าจะเอาเป๊ะๆ ต้องมีข้อมูลจากพยานมากกว่านี้"  อาร์มินตอบ เจ้าตัวมีสีหน้าลำบากอย่างเห็นได้ชัดเมื่อพูดถึงพยาน

          "ฉันถึงต้องการให้นายช่วยไง นายดูเป็นมิตรกับเด็กกว่าฉันน่ะนะ ตอนนี้เรามีข้อมูลไม่เท่าไหร่เลย นอกจากรอยนิ้วมือบนลูกบิดประตูห้องครัว ไม่มีรอยงัดแงะ แถมระบบกันขโมยก็ถูกปิดอีก"

          "ฟังดูเหมือนพวกเขาเปิดประตูต้อนรับฆาตกรเองเลยนะ"

          "หรือไม่ก็ลืมเปิดระบบ พอได้ยินเสียงแปลกๆเลยเดินลงมาดู"

          "ชิงทรัพย์เหรอ? มีของหายรึเปล่า?"

          "กล่องเครื่องประดับของภรรยาเขาไม่ได้ถูกแตะต้อง กระเป๋าสตางค์ของพวกเขาทั้งคู่ก็ยังอยู่ในลิ้นชักหัวเตียง"

          "ฆาตกรเข้าห้องนอนของพวกเขารึเปล่า?"

          "เข้าแน่ๆ มันเข้าห้องนอนของพวกเขาทุกห้องเลย"  เอเลนจับความรู้สึกขนลุกขนพองในน้ำเสียงของแจนได้ และรู้ด้วยว่าสิ่งที่กำลังรออยู่ชั้นบนคงสยดสยองมากกว่าในห้องสมุดเลือดสาดนี้หลายเท่า

          "ฉันพานายไปข้างบนได้นะ"  อาร์มินพึมพำไม่เต็มเสียงนัก อาจเป็นเพราะเจ้าตัวคงกลัวจะกระทบกับความรู้สึกของเขาเข้า ใช่แล้ว เหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นกับเขามาก่อน แต่เรื่องนั้นมันผ่านมาสิบห้าปีแล้ว และในตอนนี้เขาก็มีภูมิคุ้มกันจิตใจมากพอ

          "ฉันโอเค นำไปได้เลย"  เอเลนบอกยิ้มๆ มือบางบีบหัวไหล่อาร์มินเบาๆแทนคำปลอบฝ่ายนั้นจึงพยักหน้ารับ

          อาร์มินเดินนำเขาไปที่ห้องสุดทางเดินฝั่งตะวันออกที่อยู่ชั้นสาม โดยมีแจนเดินตามหลังมา ใบหน้ามนมองผ่านประตูที่เปิดค้างเอาไว้เข้าไป เห็นโคนี่เพื่อนร่วมทีมของเขายืนอยู่ตรงนั้น อีกฝ่ายสวมถุงมือยางสีม่วงสะดุดตา แล้วยืนสองแขนแนบข้างลำตัว นั่นเป็นท่ายืนของตำรวจโดยอัตโนมัติเวลาเข้าไปในที่เกิดเหตุ เพื่อป้องกันไม่ให้เผลอไปแตะต้องทำลายหลักฐานโดยไม่ตั้งใจ พอฝ่ายนั้นเห็นพวกเขาก็ส่ายหน้าเศร้าๆ คล้ายกำลังบอกว่า 'ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่ ในวันที่อากาศดีแบบนี้เลย'

          แสงแดดที่สาดเข้ามาทางหน้าต่างสูงจรดเพดาน ทำให้เอเลนตาพร่าไปเพราะผ้าม่านที่ถูกเปิดเอาไว้จนสุด ห้องนอนของพวกเขาหันหน้าไปทางหน้าบ้าน ตรงลานหน้าบ้านมีต้นเมเบิ้ลญี่ปุ่นที่ใบเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มและพุ่มกุหลาบที่กำลังเบ่งบานเต็มที่

          แต่ศพของผู้หญิงคนนั้นต่างหากที่ดึงความสนใจของเอเลนเอาไว้ อลิเซีย โครว์ นอนหงายอยู่บนเตียงในชุดนอนผ้าไหมสีน้ำตาลอ่อน เธอดูอ่อนกว่าวัยไม่เหมือนคนอายุสี่สิบแปด ดวงตาของเธอปิดสนิท ใบหน้าสงบนิ่งจนน่าขนลุก รูกระสุนอยู่เหนือคิ้วซ้ายแค่นิดเดียว รอยเขม่าปืนรูปวงกลมบนผิวเนื้อทำให้รู้ว่าเธอถูกจ่อยิงในระยะเผาขน
 
          "เธอคงกำลังหลับอยู่ ยังมีที่แย่กว่านี้อีกนะ"  โคนี่พึมพำออกมาเบาๆ

          "ห้องนอนของเด็กๆ อยู่ชั้นบน"  อาร์มินเดินออกจากห้องนั้นแล้วตรงขึ้นชั้นบน ราวกับกำลังบอกว่าทุกคนได้เห็นสิ่งที่ควรจะเห็นเรียบร้อยแล้ว พวกเขาเดินขึ้นมาถึงชั้นสี่ อาร์มินเบี่ยงตัวหลบไปด้านข้างแล้วก้าวข้ามสิ่งกีดขวางบางอย่างที่อยู่บนพื้นหน้าบันได เมื่อเขาก้าวขึ้นมาถึงบันไดขั้นสุดท้าย ก็พบกับร่างเล็กจ้อยน่าเวทนามีพลาสติกบางๆคลุมเอาไว้

          อาร์มินย่อตัวลงแล้วเปิดชายพลาสติกข้างหนึ่งขึ้น เด็กหญิงนอนตะแคงในท่าขดตัวแน่นเหมือนพยายามหดกลับเข้าไปในครรภ์มารดา แม้จะจดจำสถานที่แห่งนั้นได้เพียงเลือนลางเต็มที ภาพตรงหน้ากระทบเข้ากับความรู้สึกเอเลนอย่างร้ายกาจ ใบหน้ามนเบือนหนีไปอีกทางก่อนจะค่อยๆปิดเปลือกตาลง

          "เหยื่อรายสุดท้าย คิมมี่ โครว์ อายุแปดขวบ"  อาร์มินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นทางการ เจ้าตัวเว้นวรรคไว้ครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ  "กระสุนเจาะเข้าไปที่กระดูกท้ายทอยของเด็ก แต่ไม่ทะลุออกมา ดูจากทิศทางแล้วผู้ยิงต้องสูงกว่าและยิงจากด้านหลังของเด็ก"

          "แกคงกำลังเคลื่อนไหวอยู่ตอนที่ถูกยิง"  เอเลนพูดขัดขึ้นเบาๆ เจ้าตัวสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกหนึ่ง ก่อนหันหน้ามาเผชิญกับร่างของเด็กหญิงอีกครั้ง บนพื้นใกล้กับศพของคิมมี่ มีรอยเท้าเรียวบางของใครบางคนย่ำลงบนเลือดของเธอ แล้วทิ้งร่อยรอยเอาไว้ก่อนจะหนีออกจากบ้านไป มันเล็กเกินกว่าจะเป็นรอยเท้าของผู้ใหญ่ เดาว่าคงเป็นรอยเท้าของเด็กอีกคนที่รอดชีวิต

          "เด็กคงเห็นอะไรบางอย่างที่ชั้นล่าง เลยเป็นเหตุให้ถูกฆ่า"  แจนที่เดินตามขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้เอ่ยขึ้น

          "อย่าบ้าหลักการไปหน่อยเลยน่า คนที่ทำถึงขนาดนี้ได้คงตั้งใจมาฆ่าเด็กตั้งแต่ก้าวขาเข้ามาในบ้านแล้วล่ะ! เห็นๆกันอยู่ว่ามันต้องการฆ่ายกครัว!"  เอเลนหันขวับไปขึ้นเสียงใส่อีกฝ่าย ก่อนจะชะงักไปกับคำพูดของตัวเองเมื่อเห็นท่าทางอึ้งๆของแจน

          " โทษที ฉัน..."

          "ฉันเข้าใจ แต่นายโอเคมั้ยเอเลน?"  เจ้าตัวพยักหน้ารับทั้งที่ความรู้สึกยังขัดแย้งกันอย่างชัดเจน

          "ฉันแค่โกรธนิดหน่อย"

          "เราทุกคนเอเลน ที่นี่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉัน ฉันกับโคนี่จะเข้าร่วมชันสูตรศพนายไม่ต้องเข้าก็ได้"

          "โอเค ฉันจะไปคุยกับเด็กแล้วเอารอยนิ้วมือที่ลูกบิดกลับไปที่แล็ป นายให้คนไปสืบดูด้วยก็แล้วกันว่าคุณโครว์เคยเป็นที่ปรึกษาทางการเงินให้ใครบ้าง"

          "ได้เลย"




          แจนให้สายตรวจนายหนึ่งนำทางเขาไปบ้านที่ฝากพยานไว้ แต่เพราะบ้านหลังดังกล่าวไม่มีทางเข้าด้านหลัง พวกเขาจึงจำเป็นต้องผ่านทางด้านหน้าอย่างช่วยไม่ได้ และแน่นอนว่าพอเขาก้าวขาพ้นประตูบ้านออกไปฝูงนักข่าวกระหายเลือดพวกนั้นก็กรูกันเข้ามาหาเขาทันที ต่อให้เขายกมือปฏิเสธไม่ให้สัมภาษณ์ก็ตาม

          "คุณนักสืบมีอะไรคืบหน้าบ้างรึเปล่าคะ?"

         "ได้ข่าวว่าระบบกันขโมยถูกปิดจริงไหมครับ?"  คำถามมากมายถูกยิงมารัวๆ ราวกับกระสุนของM16 ทำเอาใบหน้ามนถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะหันไปตอบพวกเขาเพียงสั้นๆ แล้วสาวเท้ายาวๆพยายามไปให้พ้นจากตรงนั้น

          "ตอนนี้ยังตอบอะไรไม่ได้นะครับ"

          "แล้วจริงรึเปล่าคะที่ทรัพย์สินของผู้ตายไม่ได้ถูกขโมยไป? นี่เป็นการฆ่าตัดตอนรึเปล่า?"  นักข่าวสาวรายหนึ่งกับตากล้องของเธอยังคงวิ่งตามเขาอย่างไม่ยอมลดละ แต่คำถามที่เธอยิงมาทำเอาเอเลนถึงกับหางคิ้วกระตุกถี่ยิบ

          "คุณรู้เยอะกว่าผมอีกแน่ะ เอาเป็นว่าถ้าคุณรู้อะไรเพิ่มเติมก็บอกผมด้วยก็แล้วกัน ขอตัวนะ"  เขารู้ดีว่ามีการรั่วไหลของข่าวในกรมตำรวจเป็นเรื่องปรกติ แต่บางครั้งมันก็เร็วเกินไป บ่อยครั้งที่คนร้ายไหวตัวทันเพราะคนเหล่านี้ แค่ความเห็นแก่เงินของนายตำรวจชั้นเลวบางคน มันทำให้งานของพวกเขายากลำบากขึ้นอีกเป็นเท่าตัว ต่อให้มีการกวาดล้างกันเป็นประจำแต่ก็มีคลื่นลูกใหม่เกิดขึ้นมาอีกไม่รู้จักจบสิ้นราวกับเชื้อร้ายที่ไม่มีวันรักษา


          ไม่นานพวกเขาก็มาถึงบ้านหลังดังกล่าว หญิงชราเจ้าของบ้านรีบตรงดิ่งเข้ามาหาเอเลนทันทีราวกับรอเขาอยู่ก่อนแล้ว

          "ฉันรู้จักคุณ คุณนักสืบเยเกอร์ ฉันภาวนาให้คุณช่วยออสตินหลุดพ้นจากเรื่องพวกนี้ที"  หญิงชราเจ้าของบ้านกุมมือเอเลนเอาไว้พร้อมกับส่งสายตาวิงวอนราวกับเขาจะช่วยปลดปล่อยเธอให้พ้นทุกข์ได้ก็ไม่ปาน และนั่นมันยิ่งทำให้เจ้าตัวรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

          "ออสตินอยู่ไหนครับ?"

          "ทางนี้ค่ะ"  หญิงชราเจ้าของบ้านหมุนตัวกลับ แล้วเดินพาเอเลนตรงไปยังสวนหลังบ้านของเธอ ระหว่างทางเอเลนสอบถามเธอเกี่ยวกับออสตินหลายเรื่อง จากเรื่องที่เธอเล่าเห็นได้ชัดว่าออสตินเป็นเด็กค่อนข้างเก็บตัวและเป็นหนอนหนังสือตัวยงอีกด้วย ไม่นานนักพวกเขาก็มายืนอยู่ตรงหน้าเรือนกระจกที่มีสายตรวจสามนายคอยคุ้มกันอย่างแน่นหนา

          "ช่วยแกด้วยนะคะคุณนักสืบ"  หญิงชราเจ้าของบ้านกุมมือเอเลนอีกครั้ง รอจนกระทั่งเจ้าตัวพยักหน้ารับ จึงกลับเข้าบ้านไปแล้วปล่อยที่เหลือให้เป็นหน้าที่ของเขา ใบหน้ามนจ้องมองเรือนกระจกตรงหน้าแล้วสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่

          "ผมจะพยายาม"  ริมฝีปากอิ่มพึมพำกับตัวเอง แน่นอนว่ามันเป็นคำตอบที่เจ้าตัวอยากจะบอกกับหญิงชราเจ้าของบ้านแต่ในตอนนั้นเขาไม่กล้าพอที่จะพูดมันออกไป
.
.
.
....To be con.

          

          

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น