Signal.
บทที่ : 03
"ดูเหมือน ออสติน ฮาร์เปอร์ จะเป็นเด็กที่โชคร้ายที่สุดแล้วล่ะ คดีเมื่อสองปีก่อนยังปิดไม่ได้เพราะพวกเขาดันไปจอดเรือในน่านน้ำของพวกโจรสลัดน่ะ เราไม่มีวัตถุพยานอะไรเลย แถมยังอยู่นอกเขตรับผิดชอบของเราอีก" สารวัตรฮาเนส หัวหน้าของพวกเขาพูดพลางถอนหายใจออกมายาวเหยียด
"ถ้าเด็กนั่นมีพฤติกรรมผิดปกติทางจิต ผมจะไม่แปลกใจเลย เห็นว่าเป็นเด็กแปลกๆด้วยนี่ ใช่ไหม?" ไนท์ ด็อกซ์ หัวหน้าสารวัตรตำรวจที่เข้าร่วมประชุมเอ่ยขึ้นมาบ้าง ก่อนจะหันหน้าไปหาเอเลนเพื่อขอความเห็นสนับสนุนคำพูดของตัวเอง และนั่นมันทำให้เส้นประสาทที่ขมับของเจ้าตัวถึงกับเต้นตุ่บๆ
"แปลกยังไงครับ?" ใบหน้ามนทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แล้วย้อนถามอีกฝ่ายคืนบ้าง การถูกหักหน้าเล็กๆน้อยๆ ทำให้ฝ่ายนั้นถลึงตาใส่เขาด้วยความไม่พอใจ
"เด็กอายุสิบสองมีที่ไหน ที่ไม่เล่นกีฬา ไม่ดูทีวี เอาแต่คลุกอยู่กับหนังสือเก่าคร่ำครึกับคอม เสาร์-อาทิตย์ก็ไม่เว้น"
"บางคนอาจไม่คิดว่าแปลกก็ได้นะครับ แต่ถ้าวัดจากมาตรฐานของคุณ เด็กคนนั้นอาจจะแปลกจริงๆก็ได้" คนพูดประโยคนี้คือแจน กิลล์ชูไตน์ คู่หูของเขา เอเลนอมยิ้มน้อยๆ ให้กับท่าทางเหมือนคนอมแมลงวันเอาไว้ในปากของหัวหน้าสารตำรวจ ก่อนจะรีบปรับสีหน้าให้ราบเรียบตามเดิม
"พอๆ เข้าเรื่องกันได้แล้ว ผมอยากได้ข้อสรุป เรื่องนี้ต้องจบเร็วที่สุด" ผบ.พิกซิส ที่เป็นผู้บัญชาการสูงสุดต้องรีบปราม เพื่อไม่ให้ทุกอย่างมันเลยเถิดไปกว่านี้ เพราะระหว่างที่ทีมสืบสวนกำลังช่วยกันวิเคราะห์คดี พวกเขากลับต้องมาติดแหง่กอยู่ในห้องประชุมตลอดทั้งช่วงเช้า โดยที่ยังหาข้อสรุปอะไรเป็นชิ้นเป็นอันไม่ได้สักอย่าง ทุกคนจึงเริ่มไม่เป็นสุขนัก
สามสิบชั่วโมงหลังเกิดเหตุฆาตกรรมครอบครัวของ ไบรอัน โครว์ พวกนักข่าวอยากเล่นเรื่องนี้มากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเช้าเอเลนตื่นมาเจอพาดหัวข่าวตัวโต 'เหตุสยองใจกลางเมืองหลวง' ตามด้วยภาพผู้ต้องสงสัยหมายเลขหนึ่งของพวกเขา อลองโซ่ ดิแอช แฟนหนุ่มแม่บ้านประจำครอบครัวโครว์ที่หายตัวไป ภาพนั้นเป็นภาพเก่าซึ่งเจ้าหน้าที่ถ่ายไว้ ตอนเขาถูกจับข้อหามียาเสพติดในครอบครองที่โคลัมเบีย
หน้าตาของ ดิแอช ดูเหมือนคนโหดเหี้ยมซะด้วยจึงง่ายต่อการเข้าใจผิดอย่างไม่ยากเย็นอะไรนัก ทั้งที่พวกเขายังไม่มีหลักฐานใดบ่งบอกว่า ดิแอช เป็นคนทำ เห็นได้ชัดว่าการรั่วไหลของข้อมูลในกรมตำรวจแห่งนี้มันเข้าขั้นวิกฤติจนเกินเยียวยาแล้ว
"เราหวังพึ่งคำให้การของ ออสติน เกี่ยวกับคดีของ อลองโซ่ ดิแอช ไม่ได้หรอกนะครับ เขาไม่เห็นหน้าคนร้าย"
"นายยังมีเวลาซักเด็กนั่นอีกเยอะหมวดเยเกอร์ เขาต้องเห็นอะไรที่พอจะช่วยให้การในชั้นศาลได้บ้างล่ะน่า" ไนท์ ด็อกซ์พูด
"ไม่! ผมจะไม่ยอมให้ออสตินขึ้นในการในศาลเด็ดขาด เขายังเด็กเกินไป ผมจะหาวิธีอื่น!" เอเลนแย้งเสียงแข็ง เขารับไม่ได้ ไม่มีทางรับได้เด็ดขาดถ้าออสตินจะต้องไปถูกทนายของฝ่ายจำเลยรุมทึ้งในชั้นศาล สภาพจิตใจของเด็กชายบอบช้ำเกินไป หากถูกกระทบอีกเพียงนิดเดียวเด็กคนนั้นต้องแตกสลายเป็นแน่
"ถ้าอย่างนั้นก็รีบๆหาเข้าสิ! นายก็รู้ว่าเราถูกเบื้องบนกดดันมานี่"
"งั้นผมขอตัว" พูดจบใบหน้ามนก็ลุกเดินออกมาจากห้องประชุมไปทั้งอย่างนั้น แต่ความจริงเอเลนเห็นแล้วว่าโคนี่ยังอยู่และแน่นอนว่าหมอนั่นจะอยู่จนจบการประชุม เขาจึงไม่ห่วงว่าตัวเองจะพลาดเรื่องอะไรไป
"เอเลน! ประวัติของ ไบรอัน โครว์มาแล้วนะ เดาสิหมอนั่นเคยเป็นที่ปรึกษาทางการเงินของใคร" แจนที่วิ่งตามเขาออกมาจากห้องประชุมเช่นกัน มีสีหน้าที่ดูมี ความหวังขึ้นมาเล็กน้อย เมื่ออีกฝ่ายได้อ่านรายงานที่ลูกทีมของเขาส่งมาทางอีเมล
"เขาทำงานให้ใครบ้าง?" ทั้งคู่เดินไปคุยไป และค่อยๆลดน้ำเสียงลงจนแทบจะกลายเป็นกระซิบกระซาบ เพราะไม่ต้องการให้เรื่องนี้รั่วไหลไปถึงมือนักข่าว
"ไม่ใช่ใครบ้าง แต่เคยทำงานให้คนแค่คนเดียว ตระกูล อัคเกอร์แมน"
"มาเฟีย" ขาทั้งสองคู่หยุดยืนอยู่กับที่อย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย ก่อนจะยืนจ้องตากันอยู่อย่างนั้นโดยไม่มีใครปริปากเอ่ยอะไรออกมา
"อ่อ คะ...คือ ฉันว่าเราคงต้องไปคุยกับคนพวกนั้น" เป็นแจนที่เริ่มขยับตัวก่อน ฝ่ายนั้นดูประหม่าอย่างเห็นได้ชัดจนทำให้ใบหน้ามนขมวดคิ้วมุ่น ไม่เข้าใจอาการแปลกๆของอีกฝ่าย
"แน่นอน แต่ฉันต้องแวะไปหาออสตินก่อน มีของจะให้เขา แล้วเจอกันที่ 'อัคเกอร์แมน คอเปอร์เรชั่น' ตอนบ่ายโมงก็แล้วกัน"
"โอเค ฉันจะเอากระสุนที่อาร์มินผ่าออกจากศพของคิมมี่ไปส่งที่ห้องแล็ป แล้วเจอกันนะ"
ใบหน้ามนพยักหน้ารับยิ้มๆ ก่อนจะพรูลมหายใจออกมายาวเหยียดหลังจากแจนแยกตัวไปแล้ว มือบางล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อโค้ท แล้วกุมตลับแว่นตาของออสตินที่อยู่ในนั้นเอาไว้แน่น
เอเลนขับรถไปที่บ้านอุปถัมภ์หลังใหม่ของออสติน เพื่อเอาแว่นตาไปคืน ตอนนี้เด็กชายอยู่กับคู่สามีภรรยาสูงวัย ทั้งสองรับอุปการะเด็กมาแล้วหลายคน และมีประสบการณ์หลายปีในการดูแลเด็กที่ผ่านวิกฤติในชีวิตมาอย่างหนัก
ทว่าในวันนั้น ขณะที่เอเลนเดินออกจากบ้านหลังดังกว่า สายตาของออสตินที่มองมาที่เขา มันทำให้เอเลนรู้สึกหนักอึ้งและเวทนาในเวลาเดียวกัน ออสตินมองตรงมาราวกับเขาเป็นคนเดียวที่จะช่วยเจ้าตัวได้ แต่เขากลับทิ้งอีกฝ่ายไว้กับคนแปลกหน้าทั้งที่เขาให้สัญญากับเด็กชายยังไม่ทันข้ามวัน
เพราะแบบนั้นตอนที่มาถึง การพบกันของเขากับออสตินจึงไม่ราบรื่นเอาเสียเลย เอเลนขึ้นไปหาเด็กชายที่ชั้นสอง แม้เจ้าตัวจะเปิดประตูห้องให้เขาด้วยตัวเอง แต่ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นกลับเสมองไปทางอื่นไม่ยอมสบตา ก่อนร่างผอมบางนั่นจะนั่งลงอ่านหนังสือที่โต๊ะตรงหน้าต่างตามเดิมแล้วไม่หันกลับมามองเขาอีกเลย
เอเลนยืนมองไปที่หน้าต่างชั้นสองของบ้านอุปถัมภ์ หลังจากที่เจ้าตัวออกมาแล้วกว่าสิบนาทีได้ เขารู้ว่าเด็กชายยังคงนั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงนั้น แต่ตอนที่เอาแว่นตาคืนให้เด็กชายไม่ยอมพูดกับเขาสักคำ เจ้าตัวกำลังแสดงออกด้วยการกระทำว่ากำลังโกรธ โชคยังดีที่ออสตินยังไม่ถึงกับเกลียดเขา เพราะตอนที่เอเลนสวมกอดเด็กชายตอนบอกลา เจ้าตัวยังหันกลับมากอดตอบ แถมยังกอดเอาไว้แน่นเสียด้วย
ถึงแม้จะเหมือนเขากำลังพูดอยู่คนเดียว แต่เอเลนก็ใช้โอกาสนี้บอกเหตุผลทุกอย่างให้เด็กชายฟัง เหตุผลที่เขายังไม่ทันได้บอกเมื่อวันก่อน ออสตินเป็นเด็กฉลาดและยอมเข้าใจ แม้จะยังไม่ยอมปริปากพูดก็ตาม เขาโบกมือน้อยๆให้กับหน้าต่างบานนั้น จังหวะนั้นเองที่หน้าต่างห้องถูกเปิดออก
"คุณจะกลับมาอีกใช่มั้ยเอเลน?"
"แน่นอน! ฉันจะแวะมาบ่อยๆ อยากได้อะไรเป็นพิเศษไหม?" เอเลนตะโกนตอบกลับด้วยรอยยิ้ม รู้สึกใจชื้นขึ้นมาเล็กน้อยที่ในที่สุดออสตินก็ยอมพูดกับเขาเสียที มองเห็นเด็กชายส่ายหน้าหลุนๆ ก่อนจะรีบปิดหน้าต่างหนีเขาไป
ตึกของกลุ่มบริษัท 'อัคเกอร์แมน คอเปอร์เรชั่น' ตั้งสูงตระหง่านอยู่ใจกลางกรุงเบอร์ลิน เอเลนพอรู้มาบ้างว่าพวกเขาทำเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ และสินค้าอุปโภคบริโภค พวกเขาครองพื้นที่ตลาดที่คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ40% ของประเทศ และรู้ด้วยว่ามีคำสั่งจากเบื้องบนให้จับตามองพวกเขาเอาไว้ แต่เอเลนไม่ได้รับผิดชอบในเรื่องนี้จึงรู้อะไรเกี่ยวกับพวกเขาไม่มากนัก
"เอเลน!"
ตอนที่ก้าวขาลงจากรถ เอเลนก็เจอคู่หูของเขายืนรออยู่ก่อนแล้ว อีกฝ่ายตรงดิ่งมาหาแทบจะทันที เจ้าตัวจึงกระทุ้งศอกใส่สีข้างชายหนุ่มเบาๆ
"ตรงเวลาไปรึเปล่านาย ฝันไปเถอะถ้าคิดว่าฉันจะรู้สึกผิดเพราะมาสายไปสิบนาทีน่ะ"
"เรื่องนั้นไม่ได้หวังจากนายอยู่แล้วเจ้าบ้า แต่จะรู้สึกบ้างก็ดีนะ"
"ไม่แน่นอน!"
แจนยักไหล่แล้วเบ้ปาก ราวกับไม่ได้คาดหวังคำตอบอะไรจากเขาอยู่แล้ว ใบหน้ามนจึงส่ายหัวยิ้มๆ ก่อนจะผายมือให้ฝ่ายนั้นเดินนำหน้าไป เพราะแจนเป็นคนรับผิดชอบคดีนี้ เอเลนจึงไม่อยากข้ามหน้าข้ามตาอีกฝ่าย แต่จะคอยทำหน้าที่เป็นฝ่ายสนับสนุนที่ดีตามแบบที่คู่หูควรจะเป็น
"ผมเจ้าหน้าที่แจน จากหน่วยอาชญากรรมส่วนนี่ เอเลน เยเกอร์คู่หูผม ที่ผมโทรมาก่อนหน้านี้จำได้ใช่มั้ยครับ?" แจนชูตราประจำตัวของตัวเองให้พนักต้อนรับที่หน้าเคาน์เตอร์ดูพร้อมแนะนำตัวเองตามระเบียบของกรมตำรวจ ดูเหมือนอีกฝ่ายคงโทรมาคุยกับพนักงานหญิงคนดังกว่าก่อนหน้านี้แล้ว
"อ๋อ จำได้ค่ะ หมวดแจน ฉันแจ้งเรื่องของคุณให้บอสทราบเรียบร้อยแล้ว แต่ตอนนี้บอสติดประชุมผู้ถือหุ้นอยู่น่ะค่ะ จะเป็นไรไหมถ้าจะรบกวนให้พวกคุณรอสักครู่ เพราะถ้าไม่ติดปัญหาอะไรคิดว่าอีกราวๆ ครึ่งชั่วโมงก็น่าจะประชุมเสร็จแล้วล่ะค่ะ" พนักงานสาวคนดังกล่าวปิดสมุดตางรางนัดในมือลง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาแจนด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ ดูเธอไม่ได้มีความกังวลเลยแม้แต่น้อย ราวกับการที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินเข้าออกบริษัทเป็นเรื่องปรกติก็ไม่ปาน
"พวกผมรอได้ครับ" แจนพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
"ขอโทษในความไม่สะดวกนะคะ ฉันจะพาพวกคุณไปรอที่ห้องรับรอง เชิญทางนี้ค่ะ"
"ดูเป็นมืออาชีพดีนะพนักงานต้อนรับของที่นี่" แจนเอ่ยขึ้นหลังจากพนักหญิงคนดังกว่าเดินออกจากห้องรับรองไปแล้ว
"หล่อนพกปืนด้วยนี่ ฉันเห็นตอนที่เธอกดลิฟท์" ใบหน้ามนพึมพำเบาๆ ขณะใช้ปลายนิ้วเคาะโต๊ะกระจกอย่างพยายามใช้ความคิด ถึงแม้ว่าเขาจะเห็นไม่ถนัดนัก แต่ซองหนังสีดำที่เหน็บอยู่ที่เอวของเธอต้องเป็นปืนไม่ผิดแน่ "คงไม่ใช่พนักงานต้อนรับธรรมดา นายได้อะไรมาบ้าง?"
"ไม่เลย ดูเหมือนไบรอัน โครว์ กับพวกเขาจะมีสัมพันธ์แน่นแฟ้นต่อกัน" แจนตอบ ชายหนุ่มยักไหล่อย่างหมดหนทาง ข้อมูลที่ลูกน้องส่งมาให้ทำไม่ได้ช่วยอะไรพวกเขามากนัก แจนยื่นแฟ้มในมือให้เอเลนอ่านบ้าง ใบหน้ามนกวาดสายตาอ่านข้อมูลในนั้น พลางพยายามมองหาจุดที่ผิดสังเกตุหรืออะไรก็ตามที่พอจะใช้เป็นมูลเหตุจูงใจ
"อาจแค่ฉากบังหน้าก็ได้"
"ก็จริง พวกเขาเป็นมาเฟีย อาจจะทำอะไรที่เราคาดไม่ถึงก็ได้นี่นะ"
"ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกผู้หมวด ผมเสียใจนะที่คุณมองเราในแง่ลบขนาดนั้น"
เสียงทุ้มของใครบางคนดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้ทั้งคู่ลุกขึ้นยืนโดยอัตโนมัติก่อนจะหันหน้าไปทางต้นเสียงดังกล่าวพร้อมกัน เจ้าของเสียงคือชายหนุ่มรูปร่างสัดทัด อีกฝ่ายสวมชุดสูทสามชิ้นสั่งตัดของดีไซน์เนอร์ชื่อดัง แจนรู้ได้ในทันทีว่าคนตรงหน้าคงเป็นผู้บริหารระดับสูงของที่นี่ ต่างจากเอเลนที่เอาแต่จ้องฝ่ายตรงข้ามนิ่ง ด้วยสีหน้าที่เดาอารมณ์ไม่ออก
น้ำเสียงแบบนั้น เขาเคยได้ยินมาก่อน ใช่แล้วชายหนุ่มที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้ คือคนเดียวกันกับที่เขาเจอในบาร์เมื่อคืนนั่นเอง 'รีไวล์'
เช่นเดียวกันกับผู้มาเยือนที่ดูเหมือนจะชะงักไปครู่หนึ่งตอนที่พวกเขาเผชิญหน้ากัน ชายหนุ่มหรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วมองตรงมาที่เอเลนแล้วยิ้มบางๆตรงมุมปาก แม้จะรู้สึกหน้าม่านไปไม่น้อยที่ถูกจับได้ว่าพวกเขานินทาฝ่ายนั้นในระยะเผาขน แต่แจนก็ยังเรียกสติของตัวเองกลับมาได้ทันแล้วชูตราประจำตัวให้ฝ่ายตรงข้ามดูพร้อมกับแนะนำตัว
"สวัสดีครับผมเจ้าหน้าที่แจน จากหน่วยอาชญากรรม ส่วนนี่เอเลน เยเกอร์คู่หูของผม ไม่ทราบว่าคุณคือ..."
"ผม รีไวล์ อัคเกอร์แมน ประธานบริษัทของที่นี่ ยินดีที่รู้จักผู้หมวด"
พวกเขาจับมือทักทายกันตามมารยาท ก่อนชายหนุ่มเจ้าของบริษัทจะเดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามแล้วบอกให้ทำตัวตามสบาย
"คุณรีไวล์ ผมคิดว่าคุณคงพอจะทราบว่าเรามาที่นี่เพราะเรื่องอะไร หวังว่าจะได้รับความร่วมมือนะครับ"
"ผมรู้ ผมเห็นจากข่าวเมื่อเช้า" ชายหนุ่มตอบ แต่แจนสังเกตุเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ได้มองหน้าเขาด้วยซ้ำ เขาชำเลืองไปตามสายตาของฝ่ายนั้น พบว่ารีไวล์กำลังจ้องตากับคู่หูของเขาอยู่ พอเห็นความไม่ชอบมาพากลตรงหน้าแล้ว เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังพลาดเรื่องสำคัญบางอย่างไปเป็นแน่แท้ ชายหนุ่มได้แต่ข่มความสงสัยไว้ในใจแล้วเปิดประเด็นทันที
"งั้นผมขอเริ่มเลยนะครับ ผมรู้มาว่าคุณโครว์เคยเป็นที่ปรึกษาทางการเงินของคุณถูกไหมครับ?"
"ใช่ เขาเคยเป็น"
"เขาเคยมีเรื่องหมางใจกับใครในที่ทำงานรึเปล่าครับ?"
"เท่าที่ผมรู้ ไม่มี"
"แต่ผมสืบรู้มาว่า คุณกับเขาความคิดเห็นไม่ตรงกันในหลายเรื่องใช่ไหมครับ?"
"ความขัดแย้งทางธุรกิจ ก็มีบ้างที่เราคิดไม่ตรงกัน" รีไวล์ตอบคำถามของแจน ด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น และแน่นอนว่าสายตาคมกริบคู่นั้นยังมองตรงไปที่เอเลนเช่นเดิม พอเหลือบมองไปที่คนข้างๆ พบว่าเอเลนละสายตาจากอีกฝ่ายแล้ว และจดจ่ออยู่กับสมุดพก ปากกา และแฟ้มข้อมูลในมือแทน แจนรู้ว่าเจ้าตัวเองก็คงรู้สึกถึงมัน แต่เขากลับเป็นฝ่ายที่อึดอัดแทนอย่างบอกไม่ถูก เขาเอาเหลือบแต่มองฝ่ายโน้นที ฝ่ายนี้ที จนดูเหมือนการสนทนาของพวกเขาจะหยุดชะงักไปเสียดื้อๆ
"คุณโครว์ ลาออกเพราะสาเหตุนี้รึเปล่าครับ? เพราะเขามีเรื่องกับคุณเลยถูกกดดัน?" เอเลนเป็นคนถามประโยคนี้ เมื่อคู่หูของเขานิ่งไป เขารู้ว่าแจนไม่ได้เปิดโอกาสให้เขาเป็นฝ่ายซักถามบ้าง และรู้ด้วยว่าสาเหตุที่อีกฝ่ายชะงักไปแบบนั้นเป็นเพราะเขาเอง ใบหน้ามนเงยขึ้นสบตากับคนถูกถามอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะความอวดเก่งหรืออวดดีอะไรเทือกนั้น แต่เพราะต้องการสังเกตุความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ สีหน้า และแววตาของคู่สนทนาว่าอีกฝ่ายกำลังพูดความจริงหรือโกหกอยู่กันแน่
"เป็นคำถามที่ดีคุณนักสืบ เหมือนผมกำลังตกเป็นผู้ต้องสงสัยอยู่ใช่ไหม?" รีไวล์ตอบยิ้มๆ เอเลนมองไม่เห็นความลังเลใดๆ จากใบหน้าของชายหนุ่ม ต้องยอมรับคนว่าตรงหน้าเก็บซ่อนอารมณ์และความรู้สึกเอาไว้ภายใต้ใบหน้าหล่อเหลานั่นได้อย่างดีเยี่ยม
"ตามรายงานของผม คุณกับเขาทะเลาะกันค่อนข้างรุนแรงในห้องประชุม อาจทำให้คุณเสียหน้าก็ได้"
"ก็แค่ความคิดเห็นของเราไม่ตรงกัน มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้"
"แต่ภาษาของผมเรียกมันว่าเหตุจูงใจ"
"ฉันบอกไปแล้วว่าเราไม่ได้ป่าเถื่อนขนาดนั้น"
"กับคนที่ให้พนักงานต้อนรับพกปืน เชื่อยากหน่อยนะครับ" คำพูดของเขาทำให้คนฟังหลุดหัวเราะออกมาเสียงหนึ่ง แจนที่รอจังหวะอยู่นานจึงรีบใช้โอกาสนี้เสริมทัพทันที
"เธอมีใบอนุญาติพกปืนใช่ไหมครับ?"
"รู้อะไรไหมผู้หมวด ผมจะตอบทุกเรื่องที่พวกคุณอยากรู้ แต่ผมขอคุยกับนักสืบ เยเกอร์ตามพังได้หรือเปล่า?"
แต่ดูเหมือนเขาจะทำลายโอกาสของตัวเองพังครืนลงในพริบตา การที่ชายหนุ่มตรงหน้ายื่นข้อเสนอมาแบบนี้ ชัดเจนแล้วว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร อย่างที่บอกว่าเอเลนยังสงบนิ่งอยู่ได้ และมีเพียงแค่เขาที่ร้อนรนจนนั่งแทบไม่ติด
"เรื่องนั้น! ผมเกรงว่าจะไม่ได้หรอกนะครับ ผมกับเอเลนเราทำงานกันเป็นทีมเราคอยระ...."
"ผมไม่ทำอะไรคู่หูของคุณหรอก แต่เรามีเรื่องต้องคุยกันนิดหน่อย" เขาพูดยังไม่ทันจบ รีไวล์ก็พูดขัดขึ้นมาซะก่อน น้ำเสียงของชายหนุ่มเข้มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด บ่งบอกว่าอีกฝ่ายหมายความอย่างที่พูดจริงๆ
"แต่ผมคิดว่ามันไม่!..."
"ไม่เป็นไรแจน ฉันจัดการเรื่องนี้เอง" เอเลนบีบไหล่คู่หูของตัวเองเบาๆ ทำให้อีกฝ่ายยอมหยุดหาข้อโต้แย้งและยอมแพ้ไปในที่สุด
"ระวังตัวด้วย ฉันจะรออยู่ข้างนอก ถ้ามีอะไรก็ตะโกนดังๆ เข้าใจไหม!" แจนโน้มตัวลงมากระซิบที่ข้างหู พอเห็นเขาพยักหน้ารับแล้วจึงยอมลุกเดินออกจากห้องไปแต่โดยดี
"อย่ามองฉันด้วยสายตาแบบนั้น เอเลน" รีไวล์พูดขึ้นหลังจากประตูห้องปิดลง น้ำเสียงของชายหนุ่มไม่ได้เป็นแบบพิธีการเหมือนเมื่อก่อนหน้า และฟังดูผ่อนคลายขึ้น เป็นโทนเสียงเดียวกันกับที่ฝ่ายนั้นใช้คุยกับเขาที่บาร์เมื่อคืน
"ช่วยให้คำจำกัดความด้วยครับ ผมมองคุณแบบไหน?"
"นายก็รู้ว่าฉันหมายถึงอะไร"
"แต่เมื่อคืนคุณไม่ได้บอกผม ว่าคุณเป็นมาเฟีย" คำพูดของเขาทำให้ชายหนุ่มตรงหน้าถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินตรงมายังเขา รีไวล์จับเก้าอี้ที่เขานั่งหมุนออกจากโต๊ะเพื่อให้เผชิญหน้ากัน แล้วใช้แขนขังเจ้าตัวไว้ระหว่างตัวเองกับเก้าอี้แม้อีกฝ่ายจะไม่มีท่าทีขัดขืนก็ตาม
"นายก็ไม่ได้บอกฉันเหมือนกันว่าเป็นตำรวจ เพราะงั้นถือว่าเราเสมอกันไม่ใช่รึไง?" เอเลนรู้ดีว่ารีไวล์พูดถูก ความจริงเมื่อคืนพวกเขาไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ ไม่คิดจะเอ่ยปากถามด้วยซ้ำว่าชายหนุ่มทำอาชีพอะไร จะมาโกรธเคืองอีกฝ่ายเอาตอนนี้ก็ดูจะไร้เหตุผลเกินไป
"โอเคเราเสมอกัน เพราะงั้นปล่อยให้ผมทำหน้าที่ตัวเองได้รึยังครับ?" ใบหน้ามนตอบพลางเหล่มองแขนที่ใช้ขังตัวเองไว้เป็นเชิงบอก แน่นอนว่ารีไวล์รู้ถึงความหมายที่เขาต้องการจะสื่อ แต่ยังไม่มีทีท่าจะทำตามอย่างที่ขอแต่อย่างใด
"นายเกลียดมาเฟีย"
"ผมต้องจดคำให้การ" พอตั้งใจจะเลี่ยงชายหนุ่มกลับส่ายหน้ายิ้มๆ ว่านั่นไม่ใช่คำตอบ และจะไม่ปล่อยจนกว่าจะได้คำตอบที่ต้องการ เอเลนจึงจำใจต้องตอบคำถามอย่างเสียมิได้
"ผมมีความทรงจำแย่ๆ เกี่ยวกับพวกคุณนิดหน่อย"
"เกี่ยวกับพวกเขา ไม่ใช่ฉัน เราจะคุยกันด้วยเหตุผลตกลงไหม?"
"จริงของคุณ" ได้ยินแบบนั้นเจ้าตัวก็ได้แต่พยักหน้ายอมรับโดยไร้ข้อโต้แย้ง เรื่องที่เคยเกิดขึ้นกับเขาไม่เกี่ยวกับอีกฝ่าย และคนที่ทำเรื่องนี้ก็กำลังชดใช้กรรมของตัวเองอยู่ เขารู้ดี
"แต่ผมไม่เคยเห็นคุณมาก่อน" เอเลนเว้นวรรคคำพูดของตัวเองครู่หนึ่งก่อนเหลือบมองฝ่ายนั้นแล้วพูดต่อ "ผมหมายถึง ผมสืบคดีเกี่ยวกับมาเฟียในเบอร์ลินหลายคดี ผมรู้จักแก๊งของคุณ แต่ไม่เคยเห็นคุณ"
"ก็ไม่แปลก เพราะส่วนใหญ่ฉันใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศน่ะ เพิ่งกลับมาได้ไม่นาน แต่ฉันรู้จักครอบครัวของไบรอันดี"
"ข้อแก้ต่างเพื่อตัดตัวเองออกจากผู้ต้องสงสัยหรือครับ" ใบหน้ามนเอ่ยยิ้มๆ ความจริงเขาแค่แหย่ฝ่ายตรงข้ามไปงั้น เพราะรู้ดีว่าตระกูลโครว์ เป็นที่ปรึกษาทางการเงินให้กับ 'อัคเกอร์แมน' มาสองรุ่นแล้ว คือพ่อของเขาและตัว ไบรอัน โครว์เอง
"นั่นเป็นเรื่องที่นายต้องพิสูจน์" รีไวล์ตอบเสียงเข้มขึ้นเล็กน้อย ทว่ารอยยิ้มบางๆตรงมุมปากยังไม่จางหายไป "แต่ถ้าถามความคิดเห็นของฉัน ฉันว่านายกำลังมาผิดทางแล้ว คนที่นายกำลังตามหาไม่ใช่ฉัน"
"คุณอยากจะบอกอะไรผมกันแน่?"
"นายเป็นคนฉลาด นายรู้ว่าควรเริ่มจากตรงไหน"
"แน่นอนว่าผมกำลังทำอยู่ แต่คุณก็ยังไม่หลุดจากการเป็นผู้ต้องสงสัยหรอกนะครับ"
"ฉันรู้ แต่นายจะไม่หันกระบอกปืนใส่ฉันใช่ไหม?"
"แล้วคุณทำเรื่องผิดกฏหมายรึเปล่าล่ะ?"
"ก็มีบ้าง แต่งานส่วนใหญ่ของฉันถูกกฏหมาย" คำตอบของเขาทำให้ร่างบางตรงหน้าหลุดหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ แม้จะเป็นเรื่องที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าพวกมาเฟียทำงานผิดกฏหมายเป็นอาชีพหลักกันทั้งนั้น แต่พอได้ยินจากปากของอีกฝ่ายเขากลับรู้สึกเหมือนมันกลายเป็นเรื่องตลกไปซะได้
"งั้นคุณคงต้องระวังตัวหน่อยแล้ว เพราะถ้าจำเป็นต้องทำผมจะไม่ลังเล"
"ก็ยุติธรรมดี"
"ผมพูดจริง"
"ฉันก็เหมือนกัน"
ทั้งคู่สบตากันอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน รอยยิ้มบางๆยังปรากฏตรงมุมปากของทั้งสองฝ่ายแม้ความหมายของมันจะแตกต่างออกไปเล็กน้อย แต่พวกเขารู้ดีว่าต่างฝ่ายต่างหมายความอย่างนั้นจริงๆ
.
.
.
....To be con.