22 ธ.ค. 2561

Attack on titan Fanfic.[H.B.D Levi x Eren Projects.] Signal_02



Signal.


            บทที่ : 02


          คงไม่สามารถหาสถานที่สงบสำหรับเด็กที่บอบช้ำทางจิตใจที่ไหนดีเท่าเรือนต้นไม้ของคุณนายไลแมนอีกแล้ว รอบห้องกรุกระจก หน้าต่างหันออกสู่สวนส่วนตัวที่มีกำแพงล้อมรอบ แสงแดดยามเช้าสาดส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาบำรุงเลี้ยงป่าชุ่มชื้นขนาดย่อมที่เต็มไปด้วยเถาวัลย์ ต้นเฟิน และไม้กระถาง เอเลนมองไม่เห็นว่าเด็กชายอยู่ตรงส่วนไหนของสวนเขียวชอุ่ม เขาเห็นแต่ตำรวจหญิงที่ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้ระแนงแล้วตรงมายังเขา

          "คุณนักสืบฉันเจ้าหน้าที่วาซเกซค่ะ!"

          "ออสตินเป็นยังไงบ้าง?"  เจ้าหน้าที่หญิงชำเลืองไปทางมุมห้องตรงจุดที่เถาวัลย์เลื้อยพันกันเป็นซุ้มหนาก่อนจะกระซิบ  "เขาไม่ยอมพูดกับฉันสักคำ เอาแต่หลบหน้าหลบตาแล้วร้องไห้เป็นระยะๆ"  เอเลนเพิ่งสังเกตุเห็นร่างผอมนั่งหลบอยู่ใต้ซุ้มเถาวัลย์ เด็กชายขดตัวกอดเข่าจนชิดอก ถึงเจ้าหน้าที่จะบอกว่าเขาอายุสิบสอง แต่เขากลับดูเด็กและตัวเล็กกว่านั้นมาก ออสตินสวมชุดนอนสีฟ้า ผมหน้าม้าสีน้ำตาลอ่อนปรกหน้าจนมองไม่เห็นดวงตาของเจ้าตัว

          เห็นแบบนั้นเอเลนจึงคุกเข่าแล้วคลานเข้าไปหา มุดหลบเถาวัลย์ขณะคืบลึกเข้าไปในร่มไม้ เด็กชายไม่ขยับเขยื้อนเมื่อเขาเข้าไปนั่งข้างๆในที่ซ่อนที่เปรียบเสมือนป่า

          "ออสติน ฉันชื่อเอเลนนะ ฉันมาช่วยเธอ"  เด็กชายไม่เงยหน้าหรือตอบโต้อะไร แต่เอเลนก็ยังพูดต่อไป

          "เธอนั่งอยู่ตรงนี้พักใหญ่แล้วนี่ ป่านนี้คงหิวแย่"   ร่างผอมๆนั่นขยับเล็กน้อย จนเอเลนไม่ทันสังเกตุว่าเจ้าตัวส่ายหัวหรือกำลังสั่นเทาอยู่กันแน่?

          "เอานมช็อกโกแลตหน่อยไหม? หรือไอศกรีมดีล่ะ? ฉันว่าคุณนายไลแมนต้องมีไอศกรีมอยู่ในตู้เย็นแน่ๆ"  เด็กชายขดตัวแน่นขึ้นอีก ดูแล้วน่ากลัวว่าจะไม่มีวันแกะแขนขาที่รัดแน่นจนแทบผูกเป็นปมได้ เอเลนมองผ่านเถาวัลย์ไปที่เจ้าหน้าที่วาซเกซซึ่งจับตาดูอย่างเคร่งเครียด  "เราขออยู่ตามลำพังก่อนได้ไหม? ผมว่าเจ้าหน้าที่สองคนมันมากเกินไปสำหรับเด็ก"  เอเลนบอก เจ้าหน้าที่วาซเกซพยักหน้ารับแล้วเดินออกจากเรือนกระจกไป

          เป็นเวลาสิบหรือสิบห้านาที ที่เอเลนปล่อยให้ผ่านไปโดยไม่พูดอะไรและไม่มองตรงไปที่เด็ก ทั้งสองนั่งข้างกันในความเงียบ เสียงเดียวในบริเวณนั้นคือน้ำพุจากอ่างหินอ่อน เอเลนเอนหลังพิงซุ้มต้นไม้พลางเงยมองแสงอาทิตย์ที่ลอดผ่านเถาวัลย์ลงมา เขาได้ยินเสียงใบไม้ไหวเมื่อเด็กชายเอนตัวพิงซุ้มเถาวัลย์บ้าง แต่เอเลนฝืนตัวเองไม่ให้หันไปมอง เขานึกถึงตัวเองในตอนนั้น ที่แม้แต่เด็กอายุสิบสองก็ต้องการมีพื้นที่ส่วนตัวเป็นของตัวเอง ไม่ชอบให้ใครมาจ้องมองหรือรุกล้ำความเป็นส่วนตัว ดังนั้นเขาจึงพยายามไม่รุกล้ำอาณาเขตของออสติน แค่นั่งอยู่ข้างๆเด็กชายเท่านั้น

          "คุณเป็นใคร?"  คำพูดนั้นแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบ เอเลนบังคับตัวเองให้นิ่งไว้แล้วปล่อยให้ความเงียบคั่นกลางอยู่ครู่หนึ่ง

          "ฉันชื่อเอเลน"  เขาตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาพอกัน

          "แล้วคุณเป็นใครล่ะ"

          "ฉันเป็นเพื่อนเธอ"

          "ไม่ใช่ซะหน่อย ผมไม่รู้จักคุณด้วยซ้ำ"  เอเลนคิดตามแล้วก็ต้องยอมรับว่าเด็กคนนี้พูดถูก เขาไม่ใช่เพื่อนของออสติน แต่เป็นตำรวจที่ต้องการข้อมูลจากเจ้าตัวต่างหาก และเมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้วเขาก็จะส่งออสตินให้นักสังคมสงเคราะห์รับไม้ต่ออีกที

          "ถูกของเธอ ออสติน ฉันไม่ใช่เพื่อนเธอฉันเป็นตำรวจ แต่ฉันอยากช่วยเธอจริงๆนะ"

          "ไม่มีใครช่วยผมได้หรอก"

          "ฉันช่วยได้ แล้วฉันก็จะช่วยเธอด้วย"

          "งั้นคุณก็ต้องตายเหมือนกัน"  คำพูดที่เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบจากปากของเด็กอายุสิบสอง ทำให้เอเลนถึงกับเย็นสันหลังวาบ เขาหันไปมองหน้าเด็กชาย แต่ออสตินไม่ได้มองเขา เจ้าตัวเอาแต่มองไปข้างหน้าด้วยสายตาว่างเปล่าราวกับเห็นอนาคตที่ไร้ความหวังของตัวเอง

          "คุณจะช่วยผมจริงๆเหรอ?"  ออสตินพูด ก่อนจะขดตัวกอดเข่าเข้าหาตัวเองอีกครั้ง

          "จริงสิ"

          "ผมมองอะไรไม่เห็นเลย ผมหามันไม่เจอ แล้วตอนนี้ก็ไม่กล้ากลับไปหาแล้วด้วย"

          "เธอหาอะไรออสติน?"

          "แว่น มันน่าจะอยู่ในห้องนอน แต่ผมหามันไม่เจอ"

          "ฉันจะไปหาให้เอง"

          "ผมบอกคุณไม่ได้ว่าเขาหน้าตาเป็นยังไง เพราะผมไม่เห็นหน้าเขา"   เอเลนนิ่งเงียบไม่กล้าขัด เพราะกลัวว่าถ้าพูดอะไรออกไปออสตินจะถอยกลับเข้าไปอยู่ในเกราะป้องกันตัวเองอีกครั้ง เขานิ่งรออยู่นานแต่ออสตินก็ไม่พูดอะไรออกมาอีก จนในที่สุดเอเลนก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากถาม

          "เธอพูดถึงใครเหรอ?"  เด็กชายมองหน้าเขา ดวงตาวาววับราวกับมีเปลวไฟสีฟ้าอยู่ข้างในคลอน้ำจวนเจียนจะร่วงหล่นลง  "ก็คนที่ฆ่าพวกเขายังไงล่ะ"  เสียงออสตินแตกพร่าเพราะพยายามกล้ำกลืนอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน  "ผมอยากช่วยคุณนะ แต่ผมทำไม่ได้"  สัญชาตญาณทำให้เอเลนอ้าแขนออกทันที ออสตินโถมเข้ามาพร้อมกับซบลงบนอกของเขา เด็กชายตัวสั่นรุนแรงจนเขารู้สึกเหมือนร่างเล็กๆในอ้อมแขนกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ

          "เขาไม่เคยหยุด"  ออสตินพูดอู้อี้อยู่กับอกเขา เสียงสะอื้นทำให้แทบจับใจความของเจ้าตัวได้

          "คราวหน้าเขาคงหาผมเจออีก"

          "ไม่หรอก ออสติน เขาหาเธอไม่เจอแน่"

          "เขาจะกลับมาอีก เขาหาผมเจอเสมอ"

          "ฉันจะไม่ยอมให้มันเป็นแบบนั้น ฉันสัญญา"

          "คุณจะอยู่กับผมใช่มั้ยเอเลน?"

          "แน่นอน"

          ในที่สุดออสตินก็ยอมออกมาจากซุ้มเถาวัลย์ เด็กชายยอมเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้เขาฟัง แม้จะมีข้อมูลอะไรไม่มากแต่ก็ถือเป็นสัญญาณที่ดี
          เอเลนพาออสติน ไปฝากไว้กับคุณนายไลแมนเจ้าของบ้านและเจ้าหน้าที่วาซเกซ ก่อนจะกลับไปบ้านที่เกิดเหตุอีกครั้ง เขาเดินมาถึงโถงหน้าบ้านเป็นเวลาเดียวกันกับเจ้าหน้าที่เข็นศพสุดท้ายออกมาพอดี เอเลนหยุดอยู่กับที่เมื่อรถถูกเข็นผ่านไป ใบหน้ามนเสมองไปทางอื่นเล็กน้อยขณะเหลือบสายตามองตามร่างไร้ลมหายใจของคิมมี่ ขณะหันหลังกลับพลางพยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเอง แจนก็เดินลงบันไดมาพอดี

          "เด็กยอมคุยกับนายรึเปล่า? ได้อะไรมาบ้าง?"

          "ไม่มีอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดี ออสตินไม่เห็นคนร้าย แต่ฉันอยากให้นายสืบประวัติครอบครัวของเขาให้หน่อย ฉันคิดว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล"

          "ได้เลย อย่างน้อยเขาก็ยอมพูดกับนายมากกว่าฉันล่ะนะ"

          "แล้วทางนายล่ะได้อะไรมาบ้าง?"

          "เรากำลังตามเบาะแสมาเรีย คล็อกส์ แม่บ้านของที่นี่อยู่ เธอมีกุญแจบ้านและรหัสเปิดปิดระบบกันขโมย"

          "คนทำงานเป็นแม่บ้านก็ต้องมีกุญแจกับรหัสอยู่แล้ว"

          "แต่รายนี้มีแฟนเจ้าปัญหาด้วยนี่สิ ลักลอบเข้าเมือง แถมยังมีประวัติลักเล็กขโมยน้อยอีกเป็นหางว่าว ถึงจะไม่มีประวัติความรุนแรงก็เถอะ"

          "งั้นลองดูก็ไม่เสียหายนี่ ฉันจะขึ้นไปดูห้องนอนของออสตินหน่อย"

          "ให้ไปเป็นเพื่อนมั้ย?"

         "ไม่เป็นไร ฉันไปคนเดียวได้"

          "โอเค งั้นเจอกันที่แล็ป"  ใบหน้ามนยิ้มรับก่อนทั้งคู่จะแยกทางกัน เมื่อขึ้นมาถึงชั้นสี่เอเลนก็เพิ่งรู้ตัวว่าอยู่คนเดียว หน่วยตรวจสอบจุดเกิดเหตุแยกย้ายกันไปหมดแล้ว ก่อนหน้านี้เขาแค่ชำเลืองผ่านประตูห้องนอน แต่ตอนนี้ต้องก้าวเข้าไปและเริ่มสำรวจห้องที่เป็นระเบียบของออสตินอย่างละเอียด โต๊ะเขียนหนังสือซึ่งหันหน้าออกหน้าต่างมีตั้งหนังสือวางอยู่ หลายเล่มเก่าโทรมบ่งบอกว่าถูกเปิดอ่านหลายครั้ง

          เอเลนกวาดสายตามองชื่อหนังสือแล้วก็ได้แต่ประหลาดใจ กลยุทธ์การทำศึกสงครามในสมัยโบราณ ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับพฤกษศาสตร์พื้นบ้าน วิทยาสัตว์ลึกลับ และ พระเจ้าอเล็กซานเดอร์เยือนอียิปต์ เอเลนไม่เคยเห็นเด็กอายุสิบสองคนไหนสนใจหนังสือพวกนี้ แต่ออสตินไม่เหมือนเด็กคนอื่น เขาไม่เห็นทีวีในห้อง แต่มีโน้ตบุ้กหนึ่งเครื่องเปิดค้างอยู่ใกล้ตั้งหนังสือ ปลายนิ้วเรียวกดแป้นพิมพ์แล้วหน้าจอก็สว่างขึ้น เว็บไซต์ล่าสุดที่ออสตินเข้าไปดูคือหน้าค้นหาของกูเกิ้ล เขาป้อนคำค้นหาไว้ว่า 'พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ถูกฆาตกรรมหรือเปล่า?'

          ดูเหมือนออสตินจะเป็นเด็กเจ้าระเบียบไม่น้อย เอเลนสังเกตุจากการเรียงแท่งดินสอในลิ้นชัก ที่ถูกจัดอันดับการใช้ก่อนหลังอย่างชัดเจน ใบหน้ามนหันไปมองผ้าห่มที่เรียบสนิท ผ้าปูเตียงถูกดึงจนตรึงเปรี้ยะราวกับเตียงในโรงนอนทหาร บางทีความระเบียบจัดของออสตินอาจเป็นสิ่งที่ทำให้เจ้าตัวรอดชีวิตมาได้ 

          เดาว่าออสตินคงกำลังอ่านนังสืออยู่บนโต๊ะตัวนั้นตอนที่ฆาตกรเข้ามา เสียงปืนที่ชั้นล่างทำให้เขารีบปิดไฟและหาที่ซ่อนตัว  'รองเท้าสีดำ ผมเห็นแค่นั้น เขาเดินมาหยุดที่ข้างเตียงของผมนานมาก จากนั้นผมก็จำอะไรไม่ได้อีก'  เอเลนย่อตัวคุกเข่าลงไปที่ข้างเตียง ผ้าปูที่นอนที่เรียบตึงนี่อาจทำให้ฆาตกรคิดว่าไม่มีใครอยู่แม้จะเลยเวลาเที่ยงคืนไปแล้ว แต่ความจริงเด็กชายกำลังหลบอยู่ใต้เตียงต่างหาก

          พอก้มมองเข้าไปที่ใต้เตียงเอเลนก็เห็นสิ่งของบางอย่างตกอยู่ใต้นั้น เขาต้องทิ้งตัวลงนอนคว่ำกับพื้นถึงจะหยิบของชิ้นนั้นออกมาได้ มันคือแว่นตาของออสติน เอเลนลุกขึ้นยืนแล้วกวาดสายตามองไปรอบๆห้องเป็นครั้งสุดท้าย แม้แสงแดดจะส่องสว่างผ่านหน้าต่าง อุณหภูมิภายนอกสูงถึงยี่สิบสี่องศาเซลเซียส แต่เมื่ออยู่ในห้องนี้เขากลับรู้สึกเย็นเยียบจนตัวสั่นระริก ห้องของเด็กชายผู้รอดชีวิต.....



          แม้เวลาจะล่วงเลยไปแล้วค่อนคืน แต่ความวุ่นวายในห้องแล็ปอาชญากรรมยังคงเหมือนเดิม เพราะคดีของครอบครัวโครว์เป็นคดีใหญ่ที่ผู้นำหลายฝ่ายให้ความสนใจ เจ้าหน้าที่ของแล็ปทั้งกะกลางวันและกลางคืนจึงต้องเร่งมือทำงานกันอย่างหนักเพื่อหาคำตอบที่ทำให้ทุกคนพอใจ

          "เอเลนมาดูนี่! ประวัติครอบครัวของออสตินที่นายขอได้แล้วนะ นายต้องไม่เชื่อแน่ๆ"

          "เกิดอะไรขึ้น?"  ร่างบางสาวเท้ายาวๆตรงไปยังห้องทำงานของแจน ก่อนจะตรงไปยังหน้าจอคอมพิวเตอร์ของชายหนุ่ม

          "เมื่อสองปีก่อนออสตินกับครอบครัวกำลังล่องเรือ เอ่อ...หมายถึงพ่อแม่ที่แท้จริงอะนะ พวกเขาทอดสมออยู่ไม่ไกลจากเกาะเซนต์โทมัส พอตกกลางคืนมีคนแอบขึ้นไปบนเรือตอนที่พวกเขาหลับอยู่ พ่อ แม่ และพี่สาวของออสตินถูกฆ่า พวกเขาถูกยิง"  ใบหน้ามนขมวดคิ้วแน่นก่อนจะอ่านข้อความที่เหลือในอีเมลนั้นด้วยตัวเอง

          "มีคนพบออสตินสวมเสื้อชูชีพลอยอยู่ในน้ำ แต่แกจำไม่ได้เลยว่าลงไปอยู่ในน้ำได้ยังไง"

          "ใช่ ออสตินสูญเสียความทรงจำช่วงที่เกิดเหตุไป"

          "อาจจะไม่ทั้งหมด ออสตินบอกฉันว่าพวกมันตามหาเขา"

          "หรือบางทีเขาอาจจำได้หมดแล้วก็ได้ ต้องรบกวนนายอีกรอบแล้วล่ะเอเลน ฉันจะค้นดูว่าใครรับผิดชอบคดีนี้เมื่อสองปีก่อน บางทีอาจมีเบาะแสที่เป็นประโยชน์กับเรา"  เอเลนพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของแจนก่อนจะยื่นผลการตรวจรอยนิ้วมือจากลูกบิดประตูห้องครัวให้อีกฝ่ายบ้าง

          "ผลตรวจเป็นรอยนิ้วมือของ อลองโซ่ ดิแอช แฟนของมาเรีย"

          "เยี่ยมเลย เรามีรอยนิ้วมือของนักย่องเบา กับฆาตกรต่อเนื่องนิรนาม"

          "แต่อย่างลืมว่าข้าวของไม่ได้ถูกขโมยนะ"

          "รู้แล้วน่า"

          "แค่กันไว้ก่อน ฉันไม่อยากให้นายจับผิดตัวน่ะนะ"  ใบหน้ามนตบบ่าของอีกฝ่ายปุๆ ก่อนหมุนตัวเดินออกจากห้องไป ได้ยินเสียงฝ่ายนั้นหัวเราะเสียยกใหญ่แล้วตะโกนไล่หลังมา

          "เจ้าบ้าเอ้ย! ขับรถกลับดีๆล่ะ!"



          เอเลนเลี้ยวเลคซัสคู่ใจไปจอดที่ลานจอดรถของบาร์ที่เป็นร้านประจำ เจ้าตัวมักจะแวะหาอะไรดื่มสักแก้วสองแก้วก่อนกลับบ้านเสมอ หากวันไหนที่เจอเรื่องเครียดๆในที่ทำงาน เหมือนเช่นวันนี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเรื่องของออสติน กำลังทำให้เขารู้สึกเหมือนจมดิ่งลงไปในหุบเหวลึกที่หาทางออกไม่ได้ เขาอยากช่วยเด็กน้อยคนนั้นอย่างถึงที่สุด อยากจับไอ้สารเลวนั่นมารับโทษให้ได้ แต่ความกลัวก็ค่อยๆก่อตัวขึ้นในใจของเขาด้วยเช่นกัน

          "คลับโซดาแก้วหนึ่งครับ โอ๊ะ!?"  เจ้าตัวสั่งเครื่องดื่มกับบาร์เทนเดอร์หลังจากนั่งลงตรงหน้าเคาน์เตอร์แล้ว แต่จังหวะนั้นเองที่ขี้เมาสองคนเดินเซเข้ามาชนโดยแรง จนเอเลนเกือบตกเก้าอี้ โชคดีที่ผู้ชายที่นั่งอยู่อีกข้างรับเจ้าตัวเอาไว้ได้ทัน

          "เป็นอะไรไหม?"  เสียงทุ้มที่เหมือนกับมาพร้อมมนต์สะกด ทำให้ใบหน้ามนหันกลับไปมองเจ้าของเสียงอย่างลืมตัว พออีกฝ่ายเลิกคิ้วสูงถึงเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองกำลังเสียมารยาทจึงรีบลุกกลับไปนั่งเก้าอี้ของตัวเองตามเดิมพร้อมกับขอโทษขอโพย

          "โทษทีครับ พอดีผมไม่ทันระวัง"

          "ไม่เป็นไร"  ชายหนุ่มตอบพร้อมรอยยิ้มบางๆตรงมุมปาก เอเลนจึงค้อมหัวขอโทษฝ่ายนั้นอีกครั้งก่อนจะยกคลับโซดาของตัวเองขึ้นดื่มแก้เก้อ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังรู้สึกได้ถึงสายตาคมกริบคู่นั้นเหลือบมองมาที่เขาเป็นระยะๆ เขาเป็นตำรวจ ประสาทสัมผัสและสัญชาตญาณจึงถูกฝึกมาให้เฉียบคมกว่าคนปรกติการถูกมองในระยะเผาขนขนาดนี้ทำให้ริมฝีปากอิ่มผุดรอยยิ้มบางๆออกมาก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับฝ่ายตรงข้าม

          "มีอะไรรึเปล่าครับ?"  ชายหนุ่มส่ายหน้ายิ้มๆ แต่คราวนี้อีกฝ่ายจงใจมองหน้าของเขาตรงๆ

          "ฉันแค่แปลกใจ สีหน้านายดูเครียดๆ แต่ฉันคิดว่าคลับโซดาคงช่วยอะไรนายไม่ได้"

          "คนที่สั่งเพอร์เฟคช็อต ไม่มีสิทธ์พูดแบบนี้หรอกนะครับ"  จบคำพูดของเขา ทั้งคู่ก็หัวเราะออกมาเบาๆพร้อมกัน แหงล่ะว่าคนที่สั่งกาแฟดื่มตอนเที่ยงคืนต้องแปลกกว่าคนที่สั่งคลับโซดาอย่างเขาอยู่แล้ว

          "เรื่องงานหรือ?"

          "ครับ นิดหน่อย"

          "ยังดีที่ไม่ใช่เรื่องความรัก"

          "คุณกำลังคาดหวังอะไรอยู่น่ะ? ฮะฮะ"

          "ก็เปล่านี่"  บทสนทนากระท่อนกระแท่นของพวกเขาดำเนินต่อไปอีกพักใหญ่ แต่ถึงอย่างนั้นรอยยิ้มบางๆก็ยังไม่หายไปจากใบหน้าของคนทั้งคู่ เอเลนสั่งคลับโซดามาดื่มเป็นแก้วที่สามแล้ว แต่ชายหนุ่มอีกคนยังดื่มเพอร์เฟคช็อตแก้วเดิมของตัวเองพร่องไปไม่ถึงครึ่ง ใบหน้ามนจึงรู้ได้ในทันทีว่าอีกฝ่ายคงกำลังรอใครบางคน และอาจเป็นเพราะเขา คนคนนั้นถึงยังไม่เข้ามาซะที

          "ผมต้องกลับแล้ว ขอบคุณครับ เพราะคุณผมเลยรู้สึกดีขึ้นมาบ้างแล้ว"

          "ด้วยความยินดี ให้เดินไปส่งไหม?"  ใบหน้ามนส่ายหน้ายิ้มๆ

          "ผมไม่ได้เมาซะหน่อย ไม่ลำบากคุณหรอก"  แต่พอหมุนตัวไปยังไม่ทันก้าวขาเดินด้วยซ้ำ ข้อมือของเขาก็ถูกคว้าเอาไว้ซะก่อน คราวนี้เอเลนจึงเป็นฝ่ายเลิกคิ้วสูงด้วยความสงสัยบ้าง

          "นายยังไม่ได้บอกชื่อฉันเลยนะ"

          "ยื่นหมูยื่นแมวสิครับ บอกชื่อของคุณมาก่อน"  ชายหนุ่มพยักหน้ายิ้มๆ เมื่อถูกฝ่ายตรงข้ามรู้เท่าทัน แต่เขาก็ยอมบอกชื่อตัวเองก่อนอย่างที่คนตรงหน้าขอแต่โดยดี

          "รีไวล์"

          "ผมเอเลน"  ชายหนุ่มพึมพำชื่อเขาในลำคอ ก่อนจะยอมปล่อยข้อมือเขาในที่สุด
   
          "บายครับ"

          ใบหน้ามนโบกมือให้ชายหนุ่มน้อยๆ ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป พอถึงประตูทางออกเจ้าตัวหันกลับไปมองที่เคาน์เตอร์อีกครั้ง พบว่าฝ่ายนั้นยังมองตรงมาที่เขาราวกับจะส่งกันด้วยสายตาจนถึงรถเลยก็ไม่ปาน มันทำให้เขาหลุดยิ้มออกมาก่อนจะโบกมือให้ชายหนุ่มอีกครั้ง

          จังหวะนั้นเองที่ชายร่างสูงใหญ่คนหนึ่งเดินเข้าไปนั่งตรงเก้าอี้ที่เขาเพิ่งลุกมา ดูจากท่าทางแล้วผู้ชายคนนั้นคงรู้จักกับคุณรีไวล์คนนั้นเป็นแน่ เอเลนหันหลังเดินออกจากร้านไปโดยไม่ได้หันกลับไปมองฝ่ายนั้นอีก ถึงแม้จะรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่คนที่เขารออยู่ไม่ใช่สาวสวยหุ่นนางแบบอย่างที่คิดไว้

          เพราะดูจากการแต่งตัวแล้วชายหนุ่มคงไม่ใช่พนักงานกินเงินเดือนทั่วไปอย่างเขาเป็นแน่ ทั้งสูทแบรนด์เนมสั่งตัดและนาฬิกาที่สวม พนักงานรายเดือนที่ไหนจะมีปัญญาหาซื้อมาใส่กัน
.
.
.
....To be con.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น