29 มิ.ย. 2560

Attack on titan Au.Fic [Levi x Eren] Black Lies : 18

Attack on titan Au.Fic [Levi x Eren] Black Lies : 18

:Fanfiction Attack on titan 

:Pairing Levi x Eren x  (Alfa)

:Genre : Drama, Action-Sci-Fi

:Rate : PG,NC-18+

คำเตือน : บทความต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชายหากท่านใดไม่ต้องการรับรู้กรุณากดปิดหน้านี้ไปนะคะ ขอบคุณค่ะ










          หนึ่งเดือน หลังจากเหตุการณ์ก่อวินาศกรรมขบวนรถไฟที่ 'นิชิวากะ' ผ่านพ้นไป อะไรหลายๆอย่างกลับดำเนินไปในทางที่ดีขึ้น ถึงแม้ว่าจะมีนายพลระดับสูงของรัสเซียเสียชีวิตจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นด้วย ทว่าความสัมพันธ์ที่คลอนแคลนมานานระหว่างญี่ปุ่นกับรัสเซีย กลับกลายมาเป็นพันธมิตรต่อกันได้อย่างเหนือความคาดหมายของนานาชาติที่เฝ้ามองทั้งสองฝ่ายด้วยความวิตกกังวล

          และด้วยเหตุดังกล่าว รัฐบาลทหารของรัสเซียที่มี 'นายพลอดอล์ฟ' เป็นหนึ่งในผู้กุมบังเหียนถูกโค่นอำนาจลง แล้วจัดตั้งรัฐบาลขึ้นมาใหม่ ที่ถึงแม้จะยังปกครองด้วยทหาร แต่ก็เป็นฝ่ายที่อยู่ข้างประชาชน อิสรภาพถูกคืนให้กับประชาชนอีกครั้ง เมื่อรัฐบาลใหม่ประกาศเปิดประเทศ และยกเลิกการปกครองในระบอบเผด็จการ


          แม้ทุกอย่างจะยังไม่ราบรื่นนัก แต่ก็มีหลายๆประเทศที่ยื่นมือเข้าไปช่วยรัสเซียในการสร้างชาติ พลเมืองของที่นั่นดูจะตื่นตัวกับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้มากทีเดียว มีการเฉลิมฉลองอิสรภาพครั้งยิ่งใหญ่นี้ถึงสามวันสามคืน หลายๆประเทศจึงเชื่อว่ารัสเซียจะกลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้งในเร็ววัน หากไม่ถูกแทรกแซงจากสหรัฐซะก่อน


          มิคาสะปิดหน้าจอโน้ตบุ้คลง ก่อนจะหยิบเอาแผ่นกระดาษที่เพิ่งสั่งปริ้นท์มาเปิดอ่านรายละเอียดปลีกย่อยอีกครั้ง ดูเหมือนในอีกสองอาทิตย์ข้างหน้าจะมีการจัดประชุมสุดยอดของผู้นำประเทศในแถบเอเชียโดยมีรัสเซียเข้าร่วมด้วย และสถานที่จัดการประชุมในครั้งนี้ก็คือ...


          "โตเกียว"   หญิงสาวใช้ปากกามาร์คเกอร์สีแดงขีดเส้นใต้สองเส้นเอาไว้ใต้ประโยคนั้น หากแต่เธอไม่ได้คิดจะใส่ใจการประชุมอะไรนั่นเลยแม้แต่น้อย 


          มิคาสะพลิกแผ่นกระดาษไปอีกสองสามหน้าก่อนจะหยุดเพ่งมองกระดาษแผ่นถัดไปด้วยแววตาเป็นประกาย มันคือภาพจากกล้องวงจรปิดที่ลูกน้องของเธอเพิ่งส่งมาให้ เพราะถูกข่าวระเบิดขบวนรถไฟกลบกระแสไป ทุกคนจึงลืมการไล่ล่ากันบนทางด่วนไปเสียสนิท


          หากแต่เมื่อนำเรื่องราวทั้งสองเรื่องและช่วงเวลาที่เกิดเหตุมาปะติดปะต่อกันแล้ว เธอสังหรณ์ใจเหลือเกินว่ามันคือเรื่องเดียวกัน แม้ภาพบนทางด่วนจะมืดเกินกว่าจะระบุตัวตนของคนในรถได้ แต่ภาพจากสถานีรถไฟแห่งหนึ่งในอาคิตะก็ชัดเจนและไขความกระจ่างของเธอทั้งหมด


          รีไวล์และเด็กคนนั้นก็อยู่บนรถไฟขบวนนั้นด้วย จากเส้นทางที่มุ่งหน้ามายังจังหวัดมิยางิ เป็นไปได้สูงว่าพวกเขามุ่งหน้ามายัง 'โตเกียว' แต่ระหว่างทางกลับถูกนายพลอะไรนั่นตามล่าซะก่อน สิ่งที่คนพวกนั้นต้องการน่าจะเป็นเด็กคนนั้น รีไวล์เลยจัดการกับนายพลอดอล์ฟงั้นหรือ? แล้วใครกันที่วางระเบิดขบวนรถไฟ? เธอเชื่อว่าไม่ใช่ฝีมือของพี่ชายเธอแน่นอน ต้องเป็นบุคคลที่สามที่ต้องการให้ความขัดแย้งระหว่างสองประเทศลุกเป็นไฟขึ้น


          "หรือว่า..."   จู่ๆคำพูดของเอลวิน ก็แว๊บเข้ามาในหัวจนรู้สึกขนลุกซู่ไปทั่วทั้งร่าง ทว่ามันไม่ได้เกิดจากความหวาดกลัวแต่อย่างใด นัยน์ตาสีดำขลับของหญิงสาวฉายแววตาแข็งกร้าวอย่างคนที่พร้อมจะกระโดดลงไปในสนามรบได้ทุกเมื่อ  "พวกนายจริงๆสินะ...CIA!"  เห็นได้ชัดว่าหัวหน้าหน่วยของเธอเองก็คิดแบบนี้เหมือนกัน เพราะคนอย่างเอลวินไม่มีทางพูดอะไรออกมาลอยๆโดยไม่มีมูลความจริงแน่ ถึงมันจะดูเหมือนว่าอีกฝ่ายกำลังลำบากใจที่ต้องไปต่อกรกับCIA แต่เอลวินคนนั้นไม่ได้สั่งให้เธอหยุดสืบสวนเรื่องนี้เสียเมื่อไหร่?


          อีกฝ่ายเพียงแค่ส่งสัญญาณเตือนให้ระวัง แต่ไม่ได้ออกคำสั่งห้ามเธอสืบเรื่องนี้ต่อ มิคาสะจึงตีความหมายแบบเข้าข้างตัวเองมาโดยตลอด ใช่ว่าฝ่ายนั้นไม่รู้ว่าเธอกำล้งทำอะไร ถ้ายังไม่มีคำสั่งห้ามเธอก็จะไม่วางมือจากเรื่องนี้เด็ดขาด


          มิคาสะคว้าเสื้อโค้ทขึ้นมาสวมอย่างลวกๆ ก่อนจะรีบทำลายเอกสารทุกอย่างที่ถืออยู่ในมือ วันนี้เธอมีนัดกับนักค้าข่าวคนนั้น แต่ก่อนหน้านั้นเธออยากถามอะไรบางอย่างจากหัวหน้าหน่วยของเธอซะก่อน ในขณะที่เธอกำลังใส่กระดาษลงไปในเครื่องบด ไรเนอร์ก็เปิดประตูห้องเข้ามาพอดี ถึงแม้เธอจะทำเป็นไม่สนใจ แต่ก็รับรู้ได้จากสัญชาตญาณว่าอีกฝ่ายกำลังมองตรงมาที่เธอ หลังจากใส่กระดาษแผ่นสุดท้ายลงไป มิคาสะลังเลเล็กน้อย ก่อนจะตัดสินใจเปิดฝาเครื่องบดแล้วขยำเอาเศษกระดาษบางส่วนขึ้นมายัดใส่กระเป๋าเสื้อโค้ท แล้วเดินออกจากห้องไป




          จากการฝึกที่หนักเกินไปเมื่อวาน ส่งผลให้เอเลนขัดยอกตามตัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน โดยเฉพาะแขนขวาที่แทบจะยกไม่ขึ้น เรย์จึงยกเลิกการฝึกทั้งหมดของเจ้าตัวไปอีกสองสามวัน เอเลนจึงกลายเป็นคนว่างงานเต็มขั้น โดยสวนทางกับทุกคนที่ดูเหมือนมีงานทำจนล้นมือ แม้กระทั่งเรย์ที่เคยใช้เวลาอยู่กับเขาแทบจะตลอดทั้งวัน แต่พอหยุดซ้อมฝ่ายนั้นก็เอาแต่ขลุกตัวอยู่ในห้องทำงานตั้งแต่ทานมื้อเช้าเสร็จ


          ขณะที่กำลังยืนรับลมอยู่ที่ระเบียงตามประสาคนไม่มีอะไรทำ สายตาก็เหลือบไปเห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินออกจากตัวอาคารตรงไปยังท่าเรือที่อยู่ไม่ไกลนัก ทุกคนสวมสูทสีดำรูปแบบเดียวกันเป๊ะราวกับฝาแฝด แต่ถึงอย่างนั้นคนที่เดินอยู่ด้านหน้าสุดกลับดูโดดเด่นกว่าใคร คงเพราะรับรู้ได้ถึงสายตาของเขา อัลฟาถึงได้หยุดยืนอยู่กับที่ ส่งสัญญาณมือบอกให้ลูกน้องล่วงหน้าไปก่อน แล้วหันกลับมายิ้มให้เขา


          เอเลนไม่ได้หลบสายตาอีกฝ่าย แต่เพียงแค่ย่นจมูกแล้วมองตอบกลับไปด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์นัก ควันหลงจากการถูกฉวยโอกาสเมื่อวานย้งไม่หายไป กลับต้องมาเจอกับการแต่งตัวประหลาดๆของฝ่ายตรงข้ามยิ่งทำให้เขาอารมณ์บูดหนักขึ้นไปอีก คนถูกเมินทำเพียงแค่หัวเราะอย่างรู้ต้วดีว่าเขากำลังโกรธเรื่องอะไรอยู่ ชายหนุ่มขยับปากขึ้นลงแบบไร้เสียงว่า 'ขอโทษ' ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป ทั้งที่อยู่ห่างกันแค่ระยะสายตา หากออกเสียงตะโกนสักหน่อยเขาก็ได้ยินแล้วแท้ๆ ยังจะมาเล่นละครใบ้ให้เขาอ่านปากตัวเองอีก?


          "แค่นี้ไม่ถือเป็นการไถ่โทษหรอกนะจะบอกให้!"  เอเลนตะโกนไล่หลังอัลฟาไปอย่างหงุดหงิด ฝ่ายตรงข้ามชะงักฝีเท้าไปเล็กน้อย แต่ไม่ได้หันกลับมาหรือตอบโต้อะไร เดาว่าเวลางานของอัลคงจวนตัวเข้ามาทุกทีเอเลนจึงไม่พูดอะไรออกมาอีก เพราะมันจะเป็นการถ่วงเวลาอีกฝ่ายเปล่าๆ เจ้าตัวได้แต่มองตามหลังฝ่ายนั้นไปเงียบๆ จนกระทั่งเรือยนต์แล่นลับตาไป


          ร่างบางยืนนิ่งอยู่แบบนั้นอีกครู่ใหญ่ ก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าไปด้านใน เขาทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาก่อนจะหยิบหนังสือที่อ่านค้างไว้ตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อนขึ้นมาเปิดอ่าน มันเป็นหนังสือเกี่ยวกับเทคนิคการถ่ายภาพสำหรับมือสมัครเล่นฉบับหนึ่ง ถึงแม้ว่าหนังสือเล่มอื่นๆสำหรับเขามันไม่ต่างอะไรกับยานอนหลับชนิดออกฤทธิ์เฉียบพลัน แต่หนังสือที่อยู่ในมือ เป็นหนังสือเพียงเล่มเดียวที่เขาเปิดอ่านได้หลายหน้าที่สุด


          นานแล้วที่เขาไม่ได้เดินตระเวนถ่ายภาพเหมือนเมื่อก่อน พอเห็นวิวสวยๆด้านนอกก็ชักคันไม้คันมือขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แต่ติดปัญหาตรงที่ตอนนี้เขาไม่มีกล้องถ่ายรูปเลยได้แต่พึ่งหนังสือพวกนี้แก้ขัดไปพลางๆเท่านั้น ที่จริงเอเลนนอนคิดเรื่องนี้มาสองสามวันแล้ว แม้จะพยายามไม่นึกถึงมัน แต่กระเป๋าเป้ใบเดียวที่ติดตัวมาจากรัสเซีย และเปรียบเสมือนโลกทั้งใบของเขาหายไป อาจจะในตอนนั้น คิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างปลงๆ


          "แต่อยากได้กล้องดีๆอีกซักตัวจังเลยน้า..."  ริมฝีปากอิ่มพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะยกมือขึ้นประสานกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมกลางอากาศแล้วหรี่ตาข้างหนึ่งลงเหมือนตอนที่กำลังถ่ายรูป บางทีเขาน่าจะขอให้อัลซื้อกล้องให้ดีมั้ยนะ?


          พอความคิดนี้วนเวียนอยู่ในหัว เอเลนก็ไม่สามารถทำจิตใจให้สงบได้อีกต่อไป ร่างบางดีดตัวลุกขึ้นจากโซฟาเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าเขาควรจะลองปรึกษาเรื่องนี้กับเรย์เพื่อดูลู่ทางความเป็นไปได้ซะก่อน นั่นก็เพราะมีกฏเกณฑ์หลายอย่างที่เขาถูกอัลฟาสั่งห้ามเด็ดขาด เช่นเรื่องการใช้เครื่องมือสื่อสารและอินเตอร์เน็ตเป็นต้น บางทีการถ่ายภาพอาจจะรวมอยู่ในข้อห้ามพวกนั้นด้วย


          พอเดินลงมาถึงชั้นล่าง บุคคลที่เขาตั้งใจจะมาปรึกษาก็เดินออกมาจากห้องทำงานพอดี วันนี้เรย์แต่งตัวสบายๆ กางเกง'Chinos'สีเทาเข้มกับเสื้อยืดแขนยาวสีดำ สีหน้าดูผ่อนคลายมากกว่าในยามปรกติ เอเลนรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อยที่ในที่สุดก็ไม่ได้มีแค่เขาที่แต่งตัวผิดแผกจากคนอื่นอยู่คนเดียว


          "มีอะไรรึเปล่าครับ?"  ชายหนุ่มเอ่ยถามเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเจอเขา


          "ผมมีเรื่องอยากถามนิดหน่อย แต่ถ้านายกำลังยุ่งอยู่..."


          "เปล่าเลย ผมกำลังจะไปหากาแฟดื่มสักแก้วพอดีคุณจะรับด้วยกันไหม?"  เรย์พูดแทรกขึ้นยิ้มๆอย่างคนเดาความคิดของเขาออก เอเลนจึงได้แต่พยักหน้ารับไปส่งๆ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าอีกฝ่ายกำลังโกหก แต่บางทีอาจเป็นเพราะฝ่ายนั้นมองว่าเรื่องของเขามันแค่เรื่องไร้สาระหากเทียบกับงานที่ทำอยู่ก็เป็นได้


          "งั้นเข้าไปรอในห้องสักครู่นะครับ"  


          "อืม"  ใบหน้ามนมองตามหลังเรย์ไปครู่หนึ่ง ก่อนจะผลักประตูห้องทำงานเข้าไป ตอนแรกเขาลังเลที่จะผลักประตูเข้ามา เพราะคิดมาตลอดว่าห้องนี้ก็คงเปรียบเสมือนฐานบัญชาการลับของอัลฟา ที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์ล้ำสมัยมากมายซะอีก แต่เอาเข้าจริงกลับต่างจากที่คิดไว้ลิบลับ


          ภายในห้องมีชั้นหนังสือยาวตลอดแนวผนังอยู่อีกฟากหนึ่ง ชุดโซฟารับแขกกับโต๊ะทำงานแค่สองตัวเท่านั้น อุปกรณ์ล้ำสมัยที่คาดเดาเอาไว้ในหัวก็มีเพียงแค่คอมพิวเตอร์โน้ตบุ้คบนโต๊ะทำงานที่น่าจะเป็นโต๊ะของเรย์ เพราะโต๊ะอีกตัวโล่งโจ้งไม่มีแม้กระทั่งแฟ้มเอกสารสักเล่ม?


          "นี่มันห้องทำงานแบบไหนกัน?...ฮึ่ย!"  จู่ๆก็รู้สึกผิดหวังขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ อุตส่าห์หวังว่าจะได้รู้ได้เห็นความลับของคนที่นี่บ้างแท้ๆ พอความฝันพังทลายเอเลนก็ได้แต่ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาอย่างเซ็งๆ จังหวะนั้นเองที่เรย์เปิดประตูเข้ามาพอดี


          "เป็นอะไรไปครับ? ทำหน้าอย่างกับเด็กไม่ได้ของเล่นอย่างนั้นแหละ"


          "ช่างผมเถอะน่า"  เอเลนรับถ้วยกาแฟจากอีกฝ่ายมาถือไว้ พลางเอ่ยขอบคุณฝ่ายตรงข้าม เขารอจนกระทั่งเรย์เดินกลับไปนั่งที่โต๊ะแล้วจึงเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาขึ้น


          "นี่เรย์...ถ้าผมอยากได้กล้องถ่ายรูปสักตัว นายคิดว่าอัลจะอนุญาตรึเปล่า?"  แต่พอถามออกไปฝ่ายนั้นกลับทำหน้างงงวย พร้อมกับคราง 'หืมม' ในลำคอซะยาวเหยียด เล่นเอาเอเลนเริ่มจะรู้สึกโมโหขึ้นมาตะหงิดๆ  "ไอ้ปฏิกิริยาตอบโต้แบบนั้นมันหมายความว่าไง? ผมขอแปลกมากขนาดเลยรึไงไม่ทราบ!?"


          "อ้อ...เปล่าครับไม่แปลกหรอก ถ้าถามผมว่าได้ไหม?...ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพียงแต่..."  ฝ่ายนั้นเว้นช่วงเล็กน้อยเหมือนกำลังครุ่นคิด ก่อนจะระบายยิ้มบางๆตรงมุมปาก  "ผมแค่แปลกใจ ที่คุณไม่ถามอัลฟาเองมากกว่า เพราะถึงถามผม ผมก็ต้องรอถามพี่ชายคุณก่อนอยู่ดี"


          "นั่นผมก็คิด..."  เจ้าตัวทำหน้าอึกอัก ลำบากใจที่จะตอบ แต่เรย์กลับพยักหน้าช้าๆราวกับเดาความคิดของเขาออกแล้วเป็นฝ่ายพูดออกมาซะเอง


          "อ้อ...ยังงอนเค้าอยู่สินะครับ?"  ได้ยินแบบนั้นเอเลนก็ได้แต่ทำหน้ายุ่งก่อนตอบเสียงอ่อย  "ผมเปล่างอนซะหน่อย แค่ยังไม่อยากคุยกับหมอนั่นตอนนี้"  เอเลนยกถ้วยกาแฟขึ้นดื่ม ก่อนจะทำเป็นหยิบนิตยสารที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาเปิดผ่านๆ เรย์มองการกระทำนั้นแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าให้กับคนปากไม่ตรงกับใจ ทั้งที่ปรกติก็ออกจะเป็นคนตรงไปตรงมาแท้ๆ


          "หึ...งั้นผมจะถามพี่ชายคุณให้ก็แล้วกันครับ"  


          "ขอบคุณ"  ใบหน้ามนพึมพำตอบกลับไป แม้จะทำเป็นไม่ใส่ใจนัก แต่ในใจกลับแอบยิ้มเป็นลิงโลดจนแทบจะเก็บอาการไว้ไม่อยู่ อย่างน้อยเขาก็มั่นใจว่าถ้าเป็นเรย์อาจจะได้เรื่องได้ราวมากกว่าให้เขาเป็นคนคุยกับอัลฟาด้วยตัวเองแน่ๆ 


          "บ่ายนี้ปืนกระบอกใหม่ของคุณจะมาถึง ถ้ายังไงจะไปทดสอบด้วยกันก็ได้นะครับ"


          "เอาสิ ผมกำลังเบื่อพอดี"  ความจริงเรย์ก็คงรู้อยู่แล้วว่าเขาเบื่อ เลยเป็นฝ่ายออกปากชวน มันทำให้เขารู้สึกนับถือในความใส่ใจเล็กๆน้อยๆที่ฝ่ายนั้นมีต่อคนรอบข้างอย่างไม่มีข้อแม้ เอเลนฉวยโอกาสนี้อยู่ในห้องทำงานกับเรย์จนกระทั่งถึงช่วงบ่าย


          พวกเขาตรงไปยังสนามยิงปืนหลังจากได้รับสายว่าปืนกระบอกใหม่ของเขามาถึง ก็ปาเข้าไปตอนบ่ายคล้อยเต็มที ใบหน้ามนยืนกอดอกมองเรย์ทดสอบและเช็คความเรียบร้อยของปืนกระบอกใหม่อยู่ใกล้ๆ ฝ่ายนั้นเองก็อธิบายขั้นตอนการใช้งานพร้อมรายละเอียดยิบย่อยให้ฟังไปด้วยเช่นกัน


          "อยากลองดูหน่อยไหมครับ?"  เรย์ยื่นปืนมาตรงหน้าเอเลน หลังจากดันแม็กกาซีนเข้าไปอีกครั้ง เอเลนจึงรับมาถือเอาไว้แล้วก้าวเข้าไปยืนประจำตำแหน่งบ้าง ปืนสัญชาติเยอรมันกระบอกนี้มีน้ำที่เบากว่าเบเร็ตต้าที่เขาเคยใช้ฝึกก่อนนี้ แถมยังจับกระชับมือมากกว่าอย่างที่อัลเคยบอกไว้จริงๆ


          "อัลเคยบอกว่าผมถนัดใช้อาวุธหนักมากกว่า"  เอเลนพึมพำออกมาขณะกำลังเล็งปืนไปที่เป้าตรงหน้า


          "นั่นผมก็อยากรู้เหมือนกัน"  เรย์ตอบตามความเป็นจริง เพราะตัวเขาเองก็แทบจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเอเลนเลย 


          ใบหน้ามนยิ้มเจื่อนไปเล็กน้อย กับคำตอบทันควันของอีกฝ่าย แต่ก็สัมผัสได้ว่าเรย์ไม่ได้กำลังโกหกเขาอยู่  "ถ้าผมถามอะไรสักอย่าง สัญญากับผมได้รึเปล่า? ว่านายจะตอบตามความจริง"


          "ผมไม่เคยโกหกคุณ เอเลน"  พอได้ฟังคำยืนยันจากฝ่ายตรงข้าม เอเลนก็เหนี่ยวไกออกไปสามนัดติดต่อกัน แล้วก้มลงมองผลงานของตัวเองผ่านจอมอนิเตอร์ แน่นอนว่ากระสุนทั้งสามนัดพลาดเป้าอย่างสวยงาม


          "คงเพราะแขนคุณยังไม่หายดี"


          "ไม่ต้องมาปลอบใจผมหรอก ผมรู้น่าว่าตัวเองฝีมือห่วยแค่ไหน"  เจ้าตัวเอ่ยยิ้มๆ ก่อนจะนิ่งไปพักหนึ่ง แล้วยกปืนขึ้นเล็งอีกครั้งแต่คราวนี้เขาไม่ได้เหนี่ยวไกออกไป "อัลกับคุณรีไวล์ รู้จักกันมาก่อนใช่มั้ย?"


          "เป็นธรรมดาของคนสายอาชีพเดียวกันไม่ใช่หรือครับ?"


          คำตอบที่ได้รับทำเอาเอเลนมือสั่นไปเล็กน้อย ก่อนหน้านี้เขาก็เคยคาดเดาไปต่างๆนาๆ เกี่ยวกับงานที่อัลฟากำลังทำแต่พอได้รับคำยืนยันแบบนี้ใจมันกลับหวิวแปลกๆ ถึงจะบอกว่าสายอาชีพเดียวกัน แต่เห็นได้ชัดว่าอัลมีเส้นสายที่กว้างขวางกว่าคุณรีไวล์มาก


          "สองคนนั้น มีความแค้นต่อกันมาก่อนหรือ?"


          "เมื่อก่อนก็แค่คู่แข่งธรรมดา แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้น"


          "เพราะผม?"


          "....."  เรย์ไม่ตอบคำ แต่มันก็เป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดี หากยึดตามกฏที่ว่า 'เงียบคือการยอมรับ' แล้วล่ะก็ เอเลนเหนี่ยวไกปืนออกไปอีกหลายนัด ก่อนจะค่อยๆลดท่อนแขนลง  "ถ้าสองคนนั้นสู้กันตัวต่อตัว นายคิดว่าใครจะเป็นฝ่ายแพ้ฝ่ายชนะ?...ผมหมายถึง ถ้าไม่มีผมเป็นตัวแปลน่ะ"


          "...ถ้าไม่มีคุณพวกเขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องสู้กันไม่ใช่หรือครับ? แต่ถ้าว่ากันตามจริงก็พูดยากนะครับ อีกคนฝีมือร้ายกาจ ส่วนอีกคนก็เป็นนักวางแผน เจ้าเล่ห์ ชอบล้อเล่นกับความรู้สึกคน"  


          เอเลนถึงกับชะงักไปกับคำตอบที่ได้รับ เขาเห็นด้วยกับคำพูดของเรย์ทุกประการ คุณรีไวล์แข็งแกร่งข้อนี้เขารู้ดี ที่อีกฝ่ายพลาดท่าให้อัลในวันนั้นเป็นเพราะเขาที่ทะเล่อทะล่าเข้าไปขัดขวางการต่อสู้ของคนทั้งคู่ แต่ที่ทำให้เขาค้างคาใจมาจนถึงตอนนี้ คือแววตาของอัลตอนที่เล็งปืนมาที่เขาต่างหาก ในที่สุดวันนี้เขาก็เข้าใจความหมายของมันซะที นักวางแผน เจ้าเล่ห์ ชอบล้อเล่นกับความรู้สึกคน มันช่างเป็นคำนิยามที่เหมาะกับหมอนั่นจริงๆ 


          "ผมขอตัวไปพัก"


          "ผมพูดอะไรให้คุณไม่สบายใจรึเปล่า?"


          "ไม่หรอก แต่ผมเพลียนิดหน่อย"  ใบหน้ามนตอบยิ้มๆ ถึงจะรู้อยู่แก่ใจว่าถึงอย่างไรก็ไม่สามารถกลบเกลื่อนความรู้สึกของตัวเองต่อหน้าอีกฝ่ายได้ก็ตาม

          ร่างบางปลีกตัวออกไปจากสนามซ้อมด้วยความรู้สึกที่ต่างออกไปจากเดิม เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นเพียงแค่หมากตัวหนึ่งบนกระดาน ที่ถูกบังคับให้เดินไปตามทิศทางที่อัลฟากำหนดไว้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอยากรู้อยู่ดี ว่าสำหรับหมอนั่นแล้ว เขาอยู่ในฐานะอะไร?



          หลังจากทานมื้อเย็นที่แทบไม่รู้รสเสร็จ เอเลนทิ้งตัวลงนอนแผ่หมดสภาพบนเตียง ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรเลยสักอย่าง แต่เขากลับรู้สึกอ่อนล้าอย่างบอกไม่ถูก จากที่ตั้งใจเอาไว้ว่าจะรอจนกว่าอัลฟากลับมาแล้วเค้นเอาความจริงจากปากหมอนั่นให้ได้ แต่พอถูกลมเย็นๆที่พัดเข้ามาทางประตูระเบียงที่เปิดทิ้งไว้พ้ดเข้ามาระใบหน้า เปลือกตาก็พาลหนักอึ้งจนเจ้าตัวผล็อยหลับไปทั้งอย่างนั้น


          ร่างบางสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้งในกลางดึก เมื่อรู้สึกเหมือนกำลังถูกใครบางคนจ้องมองอยู่ในระยะประชิด เเจ้าตัวดีดตัวลุกขึ้นด้วยสีหน้าตื่นตระหนก เพราะคิดว่าบางทีอาจเป็นนักฆ่าของใครบางคน ที่ส่งมาจับตัวเขาก็เป็นได้ ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วจะพบเพียงความว่างเปล่า แต่มือบางก็ยังมิวายควานหาร่องรอยของผู้บุกรุกไปทั่ว ก่อนจะสัมผัสได้ถึงไออุ่นจากข้างเตียง ความจริงเขาเองก็ไม่ค่อยแน่ใจนักว่าสัมผัสนั้นจะเรียกว่าไออุ่นได้รึเปล่า? เพียงแต่มันเป็นความคุ้นเคยที่ทำให้อุ่นใจได้ทุกครั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ใกล้ๆ


          ใบหน้ามนส่งสายพิฆาตทะลุผนังห้องไปยังห้องนอนของฝ่ายตรงข้าม ถึงจะรู้สึกอุ่นใจก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าหมอนั่นจะเข้าออกห้องเขาได้ตามใจเสียเมื่อไหร่ เอเลนกระโดดลงจากเตียงแล้วก้าวฉับๆตรงไปที่ระเบียงเพื่อดูให้แน่ใจว่าอัลฟากลับมาแล้วจริงๆ แต่แล้วก็ต้องผิดหวังเมื่อพบว่าห้องนอนของฝ่ายนั้นไฟยังปิดสนิท ไม่มีแม้แต่แสงลางๆเล็ดลอดออกมาให้เห็น เขารออยู่อย่างนั้นสองสามนาที จนแน่ใจแล้วว่าฝ่ายนั้นยังไม่กลับเข้าห้อง จึงหมุนตัวตั้งใจจะกลับไปนอนต่อ


          แต่จังหวะนั้นเองที่สายตาเหลือบไปเห็นอีกฝ่ายเดินอยู่ตรงทางเชื่อมตรงไปยังโรงฝึกที่ด้านล่าง เล่นเอาเขาใจเต้นผิดจังหวะไปเล็กน้อยด้วยความประหม่า เอเลนลังเลว่าควรจะตามฝ่ายนั้นไปดีหรือไม่? ทว่า...สองขากลับพาตัวเองเดินออกจากห้อง โดยไม่ถามความสมัครใจของเขาสักคำ

.
.
.
.
....TBC. ...

          ฮึ๊บ!!...มาต่อให้อีกซักตอนสั้นๆค่ะ ช่วงนี้ไรท์จะเน้นปั่นBlack  เป็นหลักนะคะ ถึงความจริงจะกระโดดไปเรื่องนั้นทีเรื่องนี้ทีก็เถอะ แต่ยังยึดความตั้งใจเดิมว่าจะปั่นเรื่องนี้ให้จบภายในปีนี้ค่ะ555+


          จากนั้นจะกลับไปรีไรท์ฟิคเก่าตัวเองเรื่องหนึ่งค่ะ ควบคู่ไปกับLolita,Pride และฟิค[KHR] ที่ค้างๆคาๆอยู่นี่แหละ...พยายามเป็นอย่างมากที่จะไม่เปิดเรื่องใหม่ตอนนี้ ยังไงก็ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่อดทนรอกันอยู่นะคะ^^


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น