12 ม.ค. 2560

Attack on titan Au.Fic [Levi x Eren] Lolita : 10(50%)

Attack on titan Au.Fic [Levi x Eren] Lolita : 10

:Attack on titan Fanfiction


:Pairing : Levi x Eren


:Genre : Romantic


:Rate : NC-18++ 


คำเตือน : บทความต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชายหากท่านใดไม่ต้องการรับรู้กรุณากดปิดหน้านี้ไปนะคะ ขอบคุณค่ะ







          "ผมไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว"  เอเลนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังเป็นครั้งแรก ตลอดหนึ่งเดือนที่อยู่ด้วยกัน ไม่เคยมีสักครั้งที่เจ้าตัวจะแสดงสีหน้าลำบากใจออกมาให้เห็น แม้จะรู้สึกดีที่ได้เห็นอีกด้านหนึ่งของคนตรงหน้า ทว่าความหงุดหงิดที่เหมือนกับมีลูกแมวตะกุยอยู่ภายในอกกลับมีมากกว่าเป็นเท่าตัว ถึงเขาจะยังรักษาความสุขุมเยือกเย็นของตัวเองเอาไว้ได้ แต่มันไม่ง่ายเลยที่เขาต้องพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองทั้งที่คนตรงหน้าตกอยู่ในสภาพแบบนี้


          "ฉันก็คิดแบบนั้น"  รีไวล์พยักหน้ารับ ก่อนจะช่วยพยุงร่างบางลุกขึ้นยืนแล้วพาเดินออกจากตรงนั้น โดยทิ้งความวุ่นวายเอาไว้เบื้องหลัง แม้จะฟังดูโหดร้ายไปสักหน่อย แต่คนพวกนั้นจะต้องชดใช้อย่างสาสมกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไปอย่างแน่นอน 



          "เราจะไปไหนกันดี?"  พี่ชายคนขับแท็กซี่ถามขึ้นทันทีที่พวกเขาเดินมาถึงรถที่จอดอยู่


          "โรงพยาบาล"  คุณรีไวล์ตอบ บทสนทนาของคนทั้งคู่ทำเอาเอเลนรู้สึกงงงวยขึ้นมาเล็กน้อย ถ้าจำไม่ผิด ตั้งแต่ตอนที่คุณรีไวล์โผล่มา คนทั้งคู่ยังไม่ทันทักทายกันสักประโยคเลยไม่ใช่เร๊อะ? แล้วไหงถึงคุยกันอย่างกับคู่ซี้แบบนี้ได้เนี่ย? หรือเขามัวแต่เหม่อจนพลาดอะไรไป? แต่เขาก็ได้แต่ทำหน้างงอยู่คนเดียว เพราะยังไม่ทันได้อ้าปากถามคุณรีไวล์ก็ลุนหลังให้ขึ้นรถซะแล้ว


          "เขยิบมาตรงนี้สิ ขอฉันดูแผลหน่อย"  ชายหนุ่มตบเบาะข้างตัวเองปุๆเป็นเชิงสั่ง แต่เขาก็ไม่มีเหตุผลอะไรต้องขัดอยู่แล้ว เจ้าตัวจึงเขยิบไปนั่งข้างๆให้ชายหนุ่มตรวจดูบาดแผลอย่างว่าง่าย


          "ใช้นี่สิ"  พี่ชายคนขับแท็กซี่โยนกล่องทิชชู่เอนกประสงค์แบบเปียกมาให้ คงเพราะอีกฝ่ายสังเกตุเห็นว่าผ้าเช็ดหน้าที่คุณรีไวล์ถืออยู่มันชุ่มจนไม่เหลือสภาพเดิมแล้ว แต่เลือดที่ขมับซ้ายก็ยังไม่หยุดไหลซะที


          "ผมขอโทษ ทำนัดดินเนอร์ของคุณพังหมดเลย แถมชุดที่เพิ่งซื้อมายัง..."


          "เป็นห่วงตัวเองก่อนเถอะน่า"  อ้าปากพูดได้ไม่ทันไร ก็ถูกอีกฝ่ายดีดหน้าผากมนอย่างไม่ออมแรง โทษฐานที่เขาเอาแต่เป็นห่วงเรื่องอื่นมากกว่าตัวเอง จนเอเลนได้แต่ยกมือลูบหน้าผากตัวเองปอยๆ ฝ่ายนั้นถึงหลุดยิ้มออกมาอย่างพอใจ

     
          "ผมนึกว่าตัวเองหลุดเข้าไปในวันเดอร์แลนด์ซะอีก มีเรื่องให้ลุ้นระทึกตลอดเวลาเลย"  เอเลนพึมพำ ขณะเอียงคอให้อีกฝ่ายเช็ดแผลให้ เพราะอยู่ห่างกันแค่ลมหายใจกั้น ทุกครั้งที่ลมหายใจอุ่นๆเป่ารดพวงแก้ม เจ้าตัวจึงได้แต่ทำหน้าเคลิ้ม รู้สึกดีจนลืมความเจ็บไปในพริบตา

          "แต่ฉันว่าเหมือนหลุดเข้าไปในหนังฆาตกรรมซะมากกว่า"  รีไวล์พูดดักคอคนเพ้อเจ้ออย่างรู้ทัน ใบหน้ามนจึงหลุดหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่  "ผมเห็นมีคนถ่ายคลิปด้วย...ผมไม่อยากเห็นรูปตัวเองขึ้นหน้าหนึ่งพรุ่งนี้เลยแย่จัง"  


          "การตกเป็นข่าวคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่พรุ่งนี้เช้าจะไม่มีรูปของนายขึ้นหน้าหนึ่งแน่นอน...อีกอย่าง..."  อีกฝ่ายแนบฝ่ามือลงไปที่แก้มใสแล้วพูดต่อ  "ฉันจะไม่ให้นายเจ็บตัวฟรีๆหรอกนะ เอเลน"  คนฟังอมยิ้มบางๆเมื่อได้ฟังแบบนั้น ก่อนจะพยักหน้ารับแรงๆ "ขอบคุณนะครับ..."  สำหรับคนที่มีแค่ตัวอย่างเขาก็มีแค่คำขอบคุณนี่แหละ ที่สามารถตอบแทนสิ่งที่คุณรีไวล์ทำให้เขาได้ จะให้พูดอีกสักกี่ร้อยกี่พันครั้งเขาก็จะทำ ถ้าเป็นความต้องการของอีกฝ่ายแล้วล่ะก็...


          "เปลี่ยนจากคำขอบคุณ เป็นอย่างอื่นไม่ได้หรือ?"


          "หื๋อ?..."  จู่ๆฝ่ายนั้นก็บ่นงึมงำขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เอเลนที่ไม่ทันตั้งใจฟังจึงได้แต่ทำหน้างง พอเห็นแบบนั้นคุณรีไวล์ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ก่อนจะพูดตัดบทไปเสียดื้อๆ  "ช่างเถอะ"  ดวงตาสีเขียวมรกตลอบมองคนตรงหน้าแว่บหนึ่งก่อนจะรีบชักสายตากลับมาอย่างเนียนๆ ที่จริงเขาได้ยินที่อีกฝ่ายพูดชัดทุกถ้อยทุกคำนั่นแหละ ก็เล่นนั่งใกล้จนแทบจะสิงร่างกันขนาดนี้ แต่แค่แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินเท่านั้นเอง เขายอมรับว่าบ่อยครั้งที่รู้สึกหวั่นไหวเมื่อถูกอีกฝ่ายเรียกร้อง ถึงขนาดเคยคิดเล่นๆว่าถ้าหากคุณรีไวล์ดึงดันอีกนิดเขาจะยอมแพ้ให้ก็ได้ แต่โชคดีที่ฝ่ายตรงข้ามมีความเป็นสุภาพบุรุษมากกว่าที่เห็น แม้อาจจะไม่ใช่กับทุกคนก็ตาม เขาถึงยังรักษากฏของตัวเองให้อยู่รอดปลอดภัยมาจนถึงตอนนี้


          เอเลนรู้ดีว่าตัวเองเป็นคนขี้ขลาด แต่บางครั้งความเจ็บปวดทรมานที่มาในรูปแบบของความรัก ต่อให้ใช้เวลารักษาทั้งชีวิตก็ไม่มีทางรักษาให้หายได้ เพราะเขาเคยเห็นกับตาตัวเองมาแล้ว ว่าจุดจบของคนโง่ที่เอาแต่บูชาความรักอย่างไม่ลืมหูลืมตามันเป็นยังไง 



          หลังจากพาร่างบางไปทำแผลที่โรงพยาบาลเรียบร้อย ทั้งคู่ยังแวะซื้อเสื้อผ้าจากร้านแถวนั้นเปลี่ยนอีกด้วย บาดแผลของเอเลนไม่มีอะไรน่าห่วง ถึงจะค่อนข้างลึกจนต้องเย็บไปหลายเข็ม แต่ที่เจ้าตัวกังวลที่สุดก็มีแค่เรื่องรอยแผลเป็นเท่านั้น พอได้รับคำยืนยันอันหนักแน่นจากคุณหมอว่าจะไม่ทิ้งรอยแผลเอาไว้แน่นอน เอเลนก็กลับมายิ้มแย้มได้อีกครั้ง


          พวกเขาสลัดชุดสูทราคาแพงมาสวมแค่เสื้อยืดกางเกงยีนส์แล้วทับด้วยเสื้อไหมพรมอีกชั้นหนึ่ง อากาศช่วงกลางคืนของปลายฤดูใบไม้ร่วงในลอนดอนค่อนข้างเย็น แต่คืนนี้อุณหภูมิอุ่นขึ้นเล็กน้อย น่าจะราวๆ 14-15 องศาเซลเซียส เพราะฉะนั้นแค่เสื้อไหมพรมตัวเดียวก็รับมือกับอากาศคืนนี้ได้อย่างสบาย


          ในตอนแรกเอเลนคิดว่าพอเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จพวกเขาคงต้องกลับไปทานมื้อเย็นที่ซาวอยซะแล้ว แต่คุณรีไวล์กลับสั่งให้พี่ชายคนขับแท็กซี่มุ่งหน้าไปยังเขตสี่แทนที่จะตรงกลับโรงแรมที่พัก เห็นว่าสุดท้ายแล้วสถานที่นัดดินเนอร์คืนนี้ คือบ้านของคุณแอนด์เดอร์สัน เขาไม่รู้รายละเอียดอะไรมากนัก แต่ทั้งสองฝ่ายคงตกลงกันตอนที่คุณรีไวล์ขอตัวออกมารับโทรศัพท์ระหว่างที่เขากำลังทำแผลอยู่นั่นเอง ตลอดเวลาที่ยังนั่งอยู่บนรถ มือถือของชายหนุ่มมีสายเรียกเข้าแทบจะตลอดเวลา แต่เพราะอีกฝ่ายตอบกลับไปเพียงแค่ประโยคสั้น เขาจึงจับใจความไม่ได้เลยว่าฝ่ายนั้นคุยกับใครหรือเรื่องอะไรบ้าง? แต่เดาว่าคงเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเขาซะส่วนใหญ่


          ขับรถออกจากใจกลางกรุงลอนดอนราวๆสามสิบนาที ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงคฤหาสน์หลังงามตามแบบฉบับสถาปัตยกรรมสไตล์บ้านขนมปังขิง ครอบครัวของคุณแอนด์เดอร์สันเป็นครอบครัวใหญ่ที่อยู่กันพร้อมหน้า ตั้งแต่รุ่นปู่ไปจนถึงหลานๆอีกสามคน ถ้ามองเพียงผิวเผิน พวกเขาช่างเป็นครอบครัวที่เพียบพร้อม อบอุ่น และมั่งคั่งจนใครๆต้องอิจฉาตาร้อน ทว่าเอเลนกลับรู้สึกถึงความผิดปรกติบางอย่างกำลังห่อหุ้มครอบครัวนี้เอาไว้ แต่เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร?


          บรรยากาศบนโต๊ะอาหารครึกครื้นเสมอเมื่อมีเด็กๆร่วมโต๊ะด้วย จอร์แดนและเจมส์ลูกชายวัย12และ10ขวบของคุณแอนด์เดอร์สัน เป็นเด็กร่างเริงช่างเจรจาสมวัยที่ไม่เคยมีเรื่องยุ่งๆอยู่ในหัว ต่างจากเจสซี่ลูกสาวคนโต เอเลนสังเกตุเห็นเธอแอบมองคุณรีไวล์อยู่หลายครั้ง แต่ไม่ใช่สายตาในเชิงชู้สาวอะไรเทือกนั้น พอหันเห็นว่าเขากำลังมองอยู่ เธอก็ค้อมหัวให้เล็กน้อย แล้วก้มหน้าก้มตาจัดการมื้อเย็นของตัวเองต่อ          


          หลังทานมื้อค่ำเสร็จ เอเลนขอตัวไปอยู่กับพวกเด็กๆที่ห้องนั่งเล่น เพราะคุณรีไวล์ต้องคุยเรื่องงานกับคุณแอนด์เดอร์สันต่อจึงไม่อยากทำตัวเกะกะเรื่องงานของอีกฝ่าย แต่เป็นเพราะระหว่างทานมื้อค่ำเขาดื่มไปค่อนข้างเยอะพอสมควร หย่อนก้นนั่งไม่ทันไรก็ต้องลุกไปห้องน้ำเพื่อจัดการธุระส่วนตัว หลังจากเสร็จธุระตอนที่กำลังจะเดินกลับไปยังห้องนั่งเล่น ใบหน้ามนเหลือบไปเห็นร่างของใครคนหนึ่งยืนพิงผนังอยู่อีกฟากหนึ่งเข้าโดยบังเอิญ


          เป็นเจสซี่นั่นเอง เด็กสาวคงรับรู้ได้ถึงสายตาของเขา เธอเพียงแค่หันกลับมามองเขาด้วยแววตาเศร้าๆแต่ยังคงปักหลักอยู่ที่เดิม ถ้าจำไม่ผิด ตรงนั้นคือห้องที่พ่อและปู่ของเธอกำลังคุยเรื่องงานกับคุณรีไวล์อยู่ไม่ใช่รึไง? เหมือนมีแรงดึงดูดจากอะไรบางอย่าง ทำให้เขาเดินเข้าไปยืนพิงผนังข้างๆเจสซี่โดยไม่รู้ตัว ถึงแม้จะได้ยินไม่ถนัดนัก แต่เอเลนก็ทันได้ยินคุณรีไวล์พูดประโยคหนึ่งขึ้นมาพอดิบพอดี


          "ผมจะเลิกสัญญาตอนนี้เลยก็ยังได้ เพราะคนที่เล่นไม่ซื่อกับผมก่อนก็คือพวกคุณ ทางเลือกของคุณมีแค่สองทางคุณแอนด์เดอร์สัน เลือกเอาว่าจะยอมรับเงื่อนไขของผม หรือถูกฟ้องล้มละลาย"  จู่ๆใบหน้ามนก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว เขาจำได้แม่นว่านั่นคือเสียงของคุณรีไวล์ไม่ผิดแน่ แต่ความเย็นชาจนเรียกได้ว่าเลือดเย็นที่แฝงตัวอยู่ในคำพูดของอีกฝ่าย เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน


          เขารู้ ว่าในโลกของธุรกิจมันไม่มีที่ยืนสำหรับคนอ่อนแอ แต่พอได้ยินคำพูดที่ทั้งเด็ดขาดถึงขนาดสามารถตัดสินชะตาชีวิตของคนอื่นได้ในเสึ้ยววินาทีแบบนั้น เอเลนก็เผลอกำชายเสื้อของตัวเองเอาไว้แน่น พอคนข้างๆกระทุ้งศอกใส่สีข้างเจ้าตัวหันขวับกลับไปมองฝ่ายนั้นด้วยสีหน้าตื่นๆ


          "ออกไปเดินเล่นด้วยกันหน่อยมั้ย?"  เด็กสาวเอ่ยชวน


          "...เอาสิ"  เอเลนเดินตามหลังเจสซี่ออกไปยังสนามหญ้า เขาลอบมองเสี้ยวหน้าอีกฝ่ายขณะคิดหาเรื่องชวนคุย แต่สุดท้ายก็ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี ถึงจะรู้สึกหดหู่กับเรื่องที่เพิ่งได้ยินมา แต่เขาก็ตัดสินใจได้ในทันทีเช่นกันว่าจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องงานของคุณรีไวล์ ถ้าจะพูดให้ตรงกว่านั้นก็คือเขาไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะมีสิทธิ์ยื่นมือเข้าไปยุ่งนั่นเอง แต่เจสซี่คงไม่ได้ต้องการคำปลอบโยนอะไรจากเขานักหรอก เด็กสาวดูเข้มแข็งกว่าที่เขาคิดไว้ซะอีก


          "จริงๆก็ทำใจมาสักพักแล้วล่ะ ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังแอบหวังว่าบางทีอาจมีปาฏิหาริย์ก็ได้ แต่เห็นได้ชัดว่าฉันตั้งความหวังให้ตัวเองสูงไป"  ทั้งคู่หัวเราะออกมาพร้อมกันในจังหวะนั้น ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเสียงหัวเราะที่แห้งแล้งเต็มที


          "คิดเอาไว้รึยัง ว่าต่อไปจะทำยังไง?"


          "ก็คิดๆเอาไว้หลายๆทางนั่นแหละ ถ้าจนตรอกจริงๆก็คงไปขายบริการตามคลับดังๆ เผื่อฟลุ๊คได้แฟนเป็นมหาเศรษฐีแบบนายไง"  คนฟังทำหน้าเหมือนคนไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี  ที่อีกฝ่ายพูดเรื่องแบบนี้ได้อย่างหน้าตาเฉย เขารู้สึกเหมือนกำลังมองเห็นตัวเองในอดีตอย่างไรชอบกล? ในลอนดอนมีนักศึกษาจำนวนไม่น้อย ที่ตัดสินใจขายบริการเพราะขาดสภาพคล่องทางการเงิน แน่นอนว่าเขาก็เป็นหนึ่งในกลุ่มคนพวกนั้น แต่พอได้ยินคำพูดแบบนี้จากเด็กผู้หญิงอายุ15 ก็ทำเอาอึ้งจนหาทางไปต่อไม่ถูกกันเลยทีเดียว


          "ฉันไม่ใช่..."  ใบหน้ามนพูดยังไม่ทันจบ เด็กสาวก็พะยักพะเยิดปลายคางไปทางด้านหลังซะก่อน เขาหันกลับไปมองตามก็พบว่าคุณรีไวล์กำล้งยืนกอดอกมองพวกเขาอยู่ที่หน้าต่าง "หาคำแก้ตัวดีๆเตรียมเอาไว้ด้วยล่ะ แล้วจะหาว่าฉันไม่เตือน"  พูดจบ เจ้าตัวก็เดินลิ่วๆแยกตัวไปอีกทาง แต่เอเลนยังยืนอยู่ตรงนั้น เงยหน้าขึ้นสบตากับชายหนุ่มผ่านความมืดมิดของรัตติกาล




          ระหว่างนั่งรถกลับโรงแรมที่พัก ต่างฝ่ายต่างเอาแต่นิ่งเงียบจมจ่อมอยู่กับความคิดของตัวเอง ทั้งที่บอกกับตัวเองซ้ำๆว่าอย่าเก็บเอาเรื่องของคนอื่นมาบั่นทอนความคิดของตัวเอง แต่ตอนนี้ในหัวของเขากลับมีแต่คำพูดของเด็กสาววนเวียนซ้ำไปซ้ำมาเหมือนหนังม้วนเดิมที่ฉายซ้ำแล้วซ้ำอีก


          "ยังหัวค่ำอยู่เลย ผมขอตัวไปหาอะไรดื่มที่บาร์หน่อยนะครับ"  ใบหน้ามนยอมเป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดขึ้นมาก่อนขณะที่ทั้งคู่กำลังยืนรอลิฟต์ เจ้าตัวเอื้อมมือไปหวังจะกดเรียกลิฟต์อีกตัวขึ้นไปที่บาร์ แต่ปลายนิ้วยังไม่ทันสัมผัสปุ่ม ข้อมือบางก็ถูกคว้าเอาไว้ซะก่อน


          "ถ้าอยากดื่ม ก็สั่งขึ้นไปดื่มบนห้องก็แล้วกัน"  พูดจบชายหนุ่มก็ลากเขาเข้าลิฟต์อีกตัวขึ้นห้องพักไปโดยไม่ยอมเปิดโอกาสให้เขาได้คัดค้าน ใบหน้าหล่อเหลาเริ่มบึ้งตึงขึ้นเรื่อยๆบ่งบอกว่าใกล้จะถึงขีดความอดทนของอีกฝ่ายเต็มที ถ้าเขายังเอาแต่ยังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อยู่อย่างนี้



          ทว่าบรรยากาศอึมครึมที่ปกคลุมอยู่ก็มีอันสลายไปในเวลาไม่นาน ขณะที่ใบหน้ามนพยายามทำความสะอาดแผลให้ตัวเองอยู่ที่โต๊ะหน้ากระจก เขาเหลือบมองเห็นคุณรีไวล์ถือขวดวิสกี้เข้ามาในห้องพร้อมแก้วอีกสองใบผ่านเงาสะท้อน แต่เจ้าตัวก็ยังทำเป็นมองไม่เห็นฝ่ายตรงข้ามแล้วก้มหน้าก้มตาทำแผลของตัวเองต่อ


          แต่เพราะบาดแผลอยู่ทางด้านซ้ายซึ่งเป็นข้างที่ไม่ถนัดเอาเสียเลย มือข้างซ้ายที่ถือคีมคีบสำลีชุบน้ำยาฆ่าเชื้อจึงสั่นงกๆเงิ่นๆจนแม้แต่ตัวเองยังแอบขำกับท่าทางตลกๆของตัวเอง แต่พอเปลี่ยนมาถือข้างขวาบ้างก็ดันจิ้มผิดจิ้มถูกเพราะต้องเอียงคอมากไปจนมองเห็นแผลไม่ถนัด เอเลนแอบเห็นคนบางคนหลุดยิ้มออกมาในจังหวะนั้น และในที่สุดอีกฝ่ายก็สาวเท้าเข้ามาแย่งคีมคีบสำลีไปถือไว้ซะเอง เมื่อทนมองสภาพน่าสมเพชของเขาไม่ไหว ใบหน้ามนลอบยิ้มในใจแต่ยังตีหน้าตายไม่หือไม่อือ


          หลังจากทำแผลเสร็จเรียบร้อย เอเลนปีนขึ้นไปนั่งพิงหัวเตียงข้างๆชายหนุ่มแล้วรับแก้ววิสกี้จากอีกฝ่ายมาดื่มเงียบๆ เจ้าตัวกดรีโมทหาช่องรายการโปรดโดยผ่อนเสียงให้เบาที่สุดก่อนจะเอนศีรษะไปพิงหัวไหล่ฝ่ายตรงข้าม เขาได้ยินชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะยกแขนข้างหนึ่งโอบไหล่เขาไว้หลวมๆ


          "เป็นอะไรไป?"  รีไวล์ถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง ร่างในอ้อมแขนส่ายหน้าสองทีแทนคำตอบ แต่เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายกำลังมีบางอย่างรบกวนจิตใจ ใบหน้าหล่อเหลาฝังจมูกลงไปในกลุ่มเส้นผมสีน้ำตาล ก่อนจะกระชับวงแขนให้แน่นขึ้น ฝ่ามือลูบไล้ไปตามลาดไหล่ให้สาบเสื้อคลุมอาบน้ำที่เจ้าตัวใส่เอาไว้หลวมๆไหลลงไปกองที่ข้อศอก คงเพราะเพิ่งอาบน้ำมาใหม่ๆพอถูกมวลอากาศเย็นๆลามเลียผิวใบหน้ามนก็ซุกเข้าหาไออุ่นจากเขามากขึ้น ชายหนุ่มจึงปรับอุณหภูมิห้องให้อุ่นขึ้นอีกเล็กน้อย


          เพราะคุณรีไวล์ยังง่วนอยู่กับจอโน้ตบุ้คบนหน้าตัก เอเลนจึงซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่ายเงียบๆ ดื่มเหล้าไปพลางดูรายการทีวีไปพลาง ถึงแม้ว่าบางครั้งจะถูกมือซุกซนของฝ่ายตรงข้ามลากเลื้อยผ่านจุดไวสัมผัสจนเผลอหลุดเสียงครางออกมาบ้างก็ตามที เขาแอบทึ่งกับสมาธิอันล้ำเลิศของอีกฝ่ายมากกว่า ทั้งที่มือข้างหนึ่งยังวอแวกับร่างกายของเขาไม่เลิก แต่มืออีกข้างก็ยังเคาะแป้นพิมพ์ได้อย่างคล่องแคล่วไม่มีสะดุดแม้แต่วินาทีเดียว?


          "ครอบครัวของคุณแอนด์เดอร์สัน เป็นครอบครัวที่น่ารักมากเลยนะฮะ"  มือที่กำลังเคาะแป้นคีย์บอร์ดของชายหนุ่มหยุดชะงักไปชั่วขณะเมื่อได้ยินประโยคนี้ เอเลนไม่ทันสังเกตุเห็นความผิดปรกตินี้ อาจเป็นเพราะซีรี่ที่กำลังดูอยู่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว บวกกับแอลกอฮอล์ที่ดื่มไปเริ่มทำหน้าที่ของมันแล้วก็เป็นได้


          "พอมองดูพวกเขา มันทำให้ผมนึกถึงตัวเองในอดีต"  ใบหน้ามนเงยหน้าขึ้นมามองอีกฝ่ายยิ้มๆแต่พอสบสายตาเข้ากับฝ่ายตรงข้าม เขาถึงเพิ่งรู้ตัวว่าหลุดพูดเรื่องที่ไม่ควรพูดออกไปซะแล้ว  "ถ้าให้ฉันเดา นายต้องเป็นเด็กที่มีความสุขมากแน่ๆ"  ทั้งที่รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกล้วงความลับ แต่เจ้าตัวกลับพยักหน้ารับหงึกๆสนับสนุนคำพูดของอีกฝ่าย 


          "ผมชอบนอนหนุนตักตอนที่แม่เล่านิทานให้ฟังเป็นที่สุด แม่ชอบพูดเสมอๆว่าผมเหมือนพิน็อคคิโอ...คุณรู้ไหมว่าทำไม?"  


          "แล้วเพราะอะไรล่ะ?"


          "เพราะเวลาผมพูดโกหกปลายจมูกของผมจะแดงและมีเหงื่อซึมออกมาน่ะสิ ก็ว่าทำไมเมื่อก่อนผมไม่เคยโกหกแม่สำเร็จเลยสักครั้ง...ฮะฮะ"  เอเลนหลุดหัวเราออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ พอคิดถึงเรื่องที่ตัวเองเสียรู้แม่ทีไรเป็นต้องหัวเราะขำๆกับความซื่อบื้อของตัวเองได้ทุกครั้งไป


          "แล้วไงต่อ?"  ชายหนุ่มถามยิ้มๆ ดูเหมือนอีกฝ่ายจะสนอกจนใจเรื่องราวในอดีตของเขาเป็นพิเศษ ฝ่ายนั้นถึงกับยอมพับโน้ตบุ้คเก็บ ทั้งที่เมื่อกี้ยังเคาะตอกๆๆ เป็นไฟแล่บอยู่เลยแท้ๆ ใบหน้ามนทำท่าครุ่นคิดว่ามีเรื่องอะไรที่พอจะหยิบยกมาเล่าให้อีกฝ่ายฟังได้บ้าง


          แต่พอเปิดปากพูดกลับมีแต่เรื่องที่เจ้าตัวเก็บเป็นความลับและไม่เคยเล่าให้ใครฟังมาก่อน  "สมัยอนุบาล มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมต่อยกับเพื่อนร่วมชั้นจนฟันหน้าหักไปสองซี่ ผมโกหกแม่ว่าตัวเองขี่จักรยานล้ม แต่แม่ดั้นตีผมซ้ำซะหลายที บอกว่า 'เจ้าเด็กขี้โกหก!' ผมสงสัยอยู่ตั้งนานว่าทำไม? เพิ่งมานึกออกอีกหลายวันให้หลังว่าเพราะวันนั้นแม่เป็นคนปั่นจักรยานไปรับส่งผมด้วยตัวเองต่างหาก คิดแล้วก็เจ็บใจไม่หาย โชคดีที่ฟันที่หักไปมันเป็นฟันน้ำนม ไม่งั้นตอนนี้ผมต้องกลายเป็นเอเลนฟันหลอไปแล้ว!"


          คนฟังถึงกับหลุดหัวเราะขำๆอย่างห้ามไม่อยู่ ใบหน้ามนจึงกระทุ้งศอกใส่สีข้างอีกฝ่ายด้วยความหมั่นไส้ เจ้าตัวถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งก่อนจะซุกตัวเข้าหาเขาแล้วเงียบไป อีกฝ่ายคงเริ่มเมาจนได้ที่แล้ว เพราะเอเลนที่เขารู้จักไม่มีทางพูดเรื่องของตัวเองเป็นน้ำไหลไฟดับแบบนี้แน่นอน นัยน์ตาสีขี้เถ้าเหลือบมองขวดวิสกี้ที่พร่องไปกว่าครึ่งหนึ่ง แล้วหลุบตามองคนในอ้อมแขนยิ้มๆ


          "หลับแล้วหรือ?"  เจ้าตัวส่ายหน้าหลุนๆอยู่กับอกเขา รีไวล์จึงแย่งแก้ววิสกี้ในมือบางไปวางไว้ที่โต๊ะข้างเตียงแล้วหรี่ไฟในห้องให้เหลือเพียงแสงสลัวเพื่อให้อีกฝ่ายหลับได้ง่ายขึ้น เขาหยิบโน้ตบุ้คขึ้นมาตั้งใจจะทำงานต่ออีกสักหน่อย แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ทำอะไรร่างบางก็เด้งตัวลุกขึ้นมาซะก่อน


          ใบหน้ามนช้อนสายตามองมาอย่างสื่อความหมาย ก่อนเจ้าตัวจะปีนขึ้นมานั่งคร่อมบนตักเขาเอาไว้ รีไวล์จึงยกยิ้มบางๆตรงมุมปาก เขารั้งเอวบางเข้ามากอด แล้วใช้มือข้างเพียงข้างเดียวดึงสายคาดเอวที่เจ้าตัวผูกไว้อย่างง่ายๆออก ก่อนจะลากมือลูบไล้ไปมาบนต้นขาเนียนให้เจ้าตัวหลุดหัวเราะออกมาด้วยจั๊กจี้


          "ทั้งที่ฉันพยายามห้ามใจตัวเองแท้ๆ" ชายหนุ่มเอ่ยกลั้วเสียงหัวเราะ เดิมทีเขาตั้งใจจะให้อีกฝ่ายได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ แต่ก็ไม่ใช่คนดีขนาดถูกยั่วยวนแล้วยังหันหน้าหนีปฏิเสธอยู่แล้ว อารมณ์ความใคร่เป็นเรื่องที่ยากจะปฏิเสธหากถูกกระตุ้นเร้าจากคนบางคน ทว่าเขาก็รับรู้ได้ถึงความผิดปรกติบางอย่างที่สะท้อนอยู่ในแววตาของอีกฝ่ายเช่นกัน


          "มีอะไรอยากจะพูดกับฉันใช่ไหม?"  มือหนาย้ายมาประคองใบหน้ามนเอาไว้ ก่อนจะจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีเขียวมรกตคู่นั้น อีกฝ่ายหลบสายตาเขาในคราวแรก แต่สุดท้ายก็ยอมเอ่ยปากพูดความในใจออกมา

          "...ถ้าผมอยากจะขออะไรคุณสักเรื่อง...แค่เรื่องเดียวเท่านั้น คุณจะว่ายังไง?"  


          "มันขึ้นอยู่กับเหตุและผล ว่าคำขอนั้นเพื่อตัวนาย...หรือเพื่อใคร?"  อีกฝ่ายตอบยิ้มๆ เล่นเอาแผ่นอกด้านซ้ายคนฟังอุ่นวาบขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินแบบนั้น เอเลนเข้าใจดีถึงความหมายที่ชายหนุ่มต้องการจะสื่อ ว่าถ้าเพื่อตัวเขาเองแล้วคุณรีไวล์จะยอมทำตามคำขอโดยไม่มีข้อแม้ใดๆทั้งสิ้น ใบหน้ามนยกมุมปากยิ้มบางๆเมื่อนึกถึงความจริงข้อนี้ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะแซะอีกฝ่ายกลับไปบ้าง


        "ทำอย่างกับคุณกำลังจีบผมอยู่งั้นแหละ?"  เขาทำเป็นมองข้ามคำพูดประโยคหลังของอีกฝ่ายไปชั่วขณะ อย่างน้อยก็อยากให้หัวใจที่เคยเต้นแผ่วๆได้สัมผัสกับความอบอุ่นที่ครั้งหนึ่งเคยโหยหามันมาตลอดบ้างแม้จะเพียงชั่วครั้งชั่วคราวก็ตามที


          "แล้วเริ่มชอบฉันขึ้นมาบ้างรึยัง?"  ชายหนุ่มถาม ขณะกดจูบเบาๆที่มุมปากอิ่ม เขายังคงเว้นระยะห่างเอาไว้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย ไม่เคยล้วงล้ำเส้นแบ่งที่อีกฝ่ายกำหนดเอาไว้ 


          ใบหน้ามนหัวเราะคิกก่อนตอบ  "...ก็คง...เริ่มชอบขึ้นมานิดหน่อยล่ะมั้งครับ?"  เอเลนจ้องตาอีกฝ่ายยิ้มๆ แต่ครู่ต่อมาใบหน้ามนก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าลำบากใจเหมือนคนกำลังคิดไม่ตก มือบางแนบลงไปบนมือหนาที่ข้างแก้ม ก่อนจะเอียงหน้าซบลงไปบนฝ่ามือของชายหนุ่ม เจ้าตัวทำท่าจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่างอยู่หลายครั้งแล้วเงียบไป แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจพูดมันออกมาจนได้


          "...ผมรู้ว่าไม่มีสิทธิ์วุ่นวายเรื่องงานของคุณ แต่อย่างน้อย...ช่วยเหลือทางเลือกให้พวกเขาอีกสักทางได้ไหมครับ?"

.
.
.
.
.
.
.
ตัดฉับๆๆ.....

ลงให้อีกครึ่งหนึ่งของตอน10นะคะ~♡~

หลายๆคนคงรู้แล้วว่าโน้คบุ้คไรท์พังอยู่เพิ่งเอาไปส่งร้านซ่อมเมื่อวานเอง~

สำหรับครึ่งตอนนี้ไรท์ก็อปแปะไว้ในบล็อคตั้งแต่ก่อนไปเที่ยวแล้วค่ะ แต่งตอนท้ายต่ออีกนิดหน่อยเท่านั้นเอง(ไม่กล้าเปลี่ยนเยอะเดี๋ยวฉบับเต็มที่ต้นฉบับมันจะรวนจนต้องปั่นใหม่ทั้งตอน5555+)


แล้วเจอกันอีกสองอาทิตย์ข้างหน้าสำหรับตอนที่เหลือน้า ไรท์จะได้โน้ตบุ้คคืนตอนนั้นนาจา~~~


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น