7 ม.ค. 2560

Attack on titan Au.Fic [Levi x Eren ] Lolita : 09

Attack on titan Au.Fic [Levi x Eren] Lolita : 09

:Attack on titan Fanfiction


:Pairing : Levi x Eren


:Genre : Romane


:Rate : NC-18++ 


คำเตือน : บทความต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชายหากท่านใดไม่ต้องการรับรู้กรุณากดปิดหน้านี้ไปนะคะ ขอบคุณค่ะ






          "คือ..."  ใบหน้ามนทำท่าจะขยับปากพูดอะไรบางอย่าง ทว่าอีกฝ่ายกลับส่ายหน้าไปมาพร้อมกลับหัวเราะขึ้นจมูกอย่างรู้ทัน

          "ลืมกระเป๋าตังส์?"  พี่ชายคนที่นั่งประจำตำแหน่งคนขับต่อประโยคของเอเลนให้เสร็จสรรพแต่ก่อนที่ฝ่ายนั้นจะทันได้เอ่ยอะไรออกมาอีก เอเลนก็เป็นฝ่ายพูดแทรกขึ้นบ้าง

          "ผมไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้หรอกนะครับแต่มันเป็เหตุสุดวิสัยจริงๆ พอดีผมมีนัดกับคนรู้จักที่นี่ ถ้าไม่ติดปัญหาอะไร ผมขอเวลาซักสิบนาทีได้ไหม? แล้วผมจะรีบกลับมาพร้อมกับเงินเอ่อ..."  ใบหน้ามนชะเง้อมองจอมิเตอร์เล็กน้อย ก่อนจะกระแอมออกมาเสียงหนึ่ง

          "...75ปอนด์"  เขาพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เหมือนกับคนเพิ่งกลืนยาขมเข้าหมาดๆ อุตส่าห์เก็กมาดเท่ห์กลบเกลื่อนไปแล้วแท้ๆ แต่กลับต้องมากรีดร้องในใจอย่างก้าวร้าวกับค่าแท็กซี่ที่มันแพงเกินจริง ปรกติเขาใช้บัตร 18+ Student oyster ที่ใช้ขึ้นได้ทั้ง รถไฟ รถไฟใต้ดิน และบัสสำหรับนักศึกษาแบบรายเดือนยังจ่ายแค่154ปอนด์เองแท้ๆ แต่นี่มันเกินมากว่าครึ่งหนึ่งเลยนะ!

          "ใครบอกว่า75ไม่ทราบ?...85ปอนด์ต่างหาก"

          "ห๋า??..."  เขายังไม่ทันหลุดจากภวังค์ความคิดของตัวเองเลยด้วยซ้ำ จู่ๆคำพูดที่เหมือนกับลอยมาจากนรกก็พุ่งเข้ากระทบโสตประสาทจนเจ้าตัวถึงกับทำหน้าเหว๋ออย่างไม่เก็บอาการ เขาเป็นคนที่เก็บอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองได้อย่างดีเยี่ยม แต่บางเวลาที่ไม่จำเป็นต้องแสดงละครเขาก็เป็นตัวของตัวเองได้อย่างไร้ที่ติเช่นกัน

          เอเลนเบิกตากว้างลากเสียงยาวด้วยอารมณ์ที่เริ่มจะเดือดปุดๆ เดิมทีพื้นฐานนิสัยของเจ้าตัวก็เป็นคนอารมณ์ร้อนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอถูกเติมเชื้อไฟด้วยเรื่องเงินๆทองๆเข้าไป เลยแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้อยู่รอมร่อ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังพยายามกัดฟันเอ่ยถามออกไป

          "มิเตอร์พี่ชายเสียเหรอคร้บ? ก็เห็นอยู่เต็มตาว่ามัน75ปอนด์?"

          "มิเตอร์ไม่ได้เสีย แต่นั่นบวกเวลาที่เสียไปสิบนาทีต่างหาก...เอ้าถ้าขืนยังมัวโอ้เอ้ไม่ยอมขยับตัวแบบนี้ เกินสิบนาทีฉันไม่รู้ด้วยนา"  ฝ่ายตรงข้ามสวนกลับหน้าตาเฉย ที่แม้แต่คนปัญญาอ่อนยังรู้เลยว่านั่นมันคำขู่ นับประสาอะไรกับคนสติดีๆอย่างเขา เข้าใจแจ่มแจ้งเลยล่ะว่าถ้าเกินสิบนาทีเขาต้องโดนบวกค่าทดเวลาอีกนาทีละหนึ่งปอนด์แน่ๆ! เอเลนรีบก้าวขาลงจากรถราวกับกำลังนั่งทับของร้อนอยู่ก็ไม่ปาน

          ให้ตายสิ!!!...รู้สึกคิดถึงเครดิตการ์ดใบนั้นชะมัด! แต่เอาเถอะ! ไหนๆเจ้าของมันก็กำลังรอเขาตัวเป็นๆอยู่ที่นี่แล้ว จะทำให้อิตาโชว์เฟอร์หน้าเลือดนี่กระอักเลือดให้ดู!

          เอเลนสาวเท้ายาวๆเข้าไปในล็อบบี้โรงแรมพลางพยายามปรับสีหน้าตัวเองไปด้วย ทว่าขณะกำลังจะถึงประตูทางเข้าสองขาก็จำต้องสะดุดอยู่กับที่เมื่อเพิ่งนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ใบหน้ามนแหงนขึ้นมองตัวอักษรที่กำลังสะท้อนแสงวอมแวมของพระอาทิตย์ยามอัสดง แล้วก็ให้รู้สึกชาวาบขึ้นมาทั้งตัว 'THE HILLTUN PALACE' ริมฝีปากอิ่มขยับพึมพำแบบไร้เสียง 

          "ที่นี่มัน..."  ยังไม่ทันเรียบเรียงความคิดตัวเองให้เข้าที่เข้าทาง เสียงของใครบางคนก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะซะก่อน

          "ทำไมอยู่ๆ ถึงหยุดเดินซะล่ะ?"  ใบหน้ามนรีบหันขวับกลับไปมอง ก่อนจะพรูลมหายใจออกมายาวเหยียดเมื่อพบว่าเจ้าของเสียงคือพี่ชายคนขับแท็กซี่นั่นเอง ทว่าไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นคิ้วเรียวก็ต้องขมวดมุ่นขึ้นมาอีกครั้ง  

          "จะไปไหนหรือครับ?"  เขารีบถามเมื่อถูกคนที่ควรจะนั่งรอบนรถ เดินตามหลังเป็นขี้ปลาทองแบบนี้

          "ก็ไปกับนายด้วยไง"

          "ห๋า!!?..."

          "ทำไมมีปัญหารึ?"  ฝ่ายนั้นตอบกลับหน้าตาเฉย ก่อนสำทับออกมาอีกประโยคที่ทำเอาหางตาเขาถึงกับกระตุกถี่ยิบ  "ฉันจะมั่นใจได้ยังว่านายจะกลับมาพร้อมเงิน85ปอนด์จริงๆ เห็นแบบนี้ฉันก็ไม่โง่นา~"

          "ครับๆๆ..."  พี่ชายไม่โง่เลยซักนิด!...และที่สำคัญคือหน้าเลือดสุดๆ! เอเลนบ่นอุบในใจแถมยังชักจะคันไม้คันมืออยากชกคนงกเต็มแก่ แต่ก็ฉลาดพอที่จะไม่แสดงออกมาทางสีหน้า เพราะถ้าเทียบกันแบบปอนด์ต่อปอนด์แล้ว เขาเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างไม่ต้องสงส้ย 

          เอเลนก้าวฉับๆเข้าไปด้านในเหมือนคนถูกไฟลนก้น และเป็นอย่างที่คิดเอาไว้ไม่มีผิด ว่าการที่มีผู้ชายตัวโตๆน้องๆเดอะร็อคเดินตามติดแบบนี้เขาจะยิ่งตกเป็นเป้าสายตาของคนหมู่มาก บวกกับตอนนี้เป็นช่วงหัวค่ำที่มีแขกเดินเข้าออกเยอะเป็นทุนเดิม จึงไม่มีใครเลยที่จะไม่เหลียวหลังกลับมามองพวกเขาทั้งคู่ แน่นอนว่ามันไม่ใช่สายตาชื่นชมอะไรแบบนั้นหรอก ยังดีที่คนพวกนั้นย้งรู้จักวางตัวเป็นผู้ดีไม่แสดงกิริยารังเกียจออกนอกหน้าจนเกินไป 

          เขาสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกหนึ่งก่อนจะสาวเท้ายาวๆเดินตรงไปยังเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ แต่ก่อนที่จะทันได้เอ่ยปากพูดอะไร พนักงานรักษาความปลอดภัยร่างยักษ์สองคนก็ปรี่เข้ามาขวางหน้าเขาเอาไว้ จนเจ้าตัวแอบกร่นด่าในใจอีกครั้งว่า 'หน้าตาเขาไม่ได้เหมือนโจรขนาดนั้นซะหน่อย!' แต่ก็นึกขึ้นมาได้ทันทีเช่นกัน ว่ามีคนหน้าตาคล้ายโจรเดินตามหลังมาด้วย

          "ขอประทานโทษครับ ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรเร่งด่วนให้ผมช่วยรึเปล่า?"  แม้ถ้อยคำจะฟังดูสุภาพแต่มือที่ยื่นมากั้นเอาไว้กลับไม่ยอมลดการ์ดลงแม้แต่เซ็นต์เดียว เอเลนแสร้งยิ้มละไมก่อนตอบ  "ผมมีนัดกับแขกของที่นี่เอาไว้น่ะครับ แต่พอดีมีปัญหานิดหน่อยขอผมไปพบเขาสักครู่ได้ไหม?"  

          "ส่วนฉันแค่ตามมาเก็บค่าแท็กซี่จากเด็กนี่!"  พี่ชายคนข้บแท็กซี่โพล่งขึ้นมาด้วยคำพูดที่ทำเอาเอเลนอยากจะแทรกแผ่นดินหนีเสียให้รู้แล้วรู้รอด สรุปแล้วไอ้ท่าทางที่อุตส่าห์เก๊กมาก็เสียเปล่าอีกครั้ง แต่จะให้โทษฝ่ายนั้นก็ใช่ที เพราะอีกฝ่ายเองก็คงรับรู้ได้ถึงสายตาดูแคลนพวกนั้นเช่นกัน แต่เพราะคำพูดประโยคนั้นมันคำให้ความน่าเชื่อถือในคำพูดของเขาหายวับไปจนหมดสิ้น

          พนักงานรักษาความปลอดภัยทั้งสองคนมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกครั้ง ก่อนที่หนึ่งในสองคนจะถามขึ้น  "แขกที่คุณนัดไว้ชื่ออะไรคร้บ?"

          "รีไวล์ เอ่อ...คุณรีไวล์ อัคเกอร์แมนครับ"  ทันทีที่เขาเอ่ยชื่อนี้ออกมา ทุกอย่างรอบต้วดูเหมือนจะหยุดชะงักอยู่กับที่ไปชั่วขณะ ทั้งแขกและพนักงานแทบทุกคนที่อยู่บริเวณล๊อบบี้มองมาที่เขาเป็นตาเดียวราวกับกำลังมองต้วประหลาดก็ปาน ต้องขอบคุณคนคนนั้นล่ะนะที่ดันเป็นคนกว้างขวางมีคนรู้จักมากมายขนาดนี้ จะบอกว่าเป็นผลพลอยได้ก็ไม่ผิดนัก แต่จะมีใครสักกี่คนกันที่เชื่อว่าเขารู้จักกับคนคนนั้นจริงๆ

          "ขอผมพบคุณรีไวล์สักครู่ได้ไหมคร้บ?"  เอเลนกัดฟันพูดขึ้นมาอีกครั้งท่ามกลางบรรยากาศชวนอึดอัด ตอนนี้เองที่ผู้คนรอบข้างเริ่มหันกลับไปซุบซิบส่งเสียงอื้ออึงจนฟ้งไม่ได้สรรพ พนักงานรักษาความปลอดภัยทั้งสองหันกลับไปมองพนักงานต้อนรับที่หลังเคาน์เตอร์คล้ายขอความเห็น เอเลนที่ไล่สายตามองตามไปจึงทันได้เห็นว่าหญิงสาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังสุด ส่ายหน้าเล็กน้อยแทนคำตอบ เอเลนเข้าใจได้ในทันทีว่าคำขอของเขาถูกปฏิเสธ ใบหน้ามนขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะชักสีหน้าไม่พอใจกับคำตอบที่ได้รับ

          "ทำไมหรือครับ?...ผมแค่ลืมกระเป๋าสตางค์เนี่ยมันผิดมากเหรอ?"  เจ้าตัวปัดมือพนักงานรักษาความปลอดภัยตรงหน้าออกไปให้พ้นทาง แล้วสาวเท้าเดินไปหยุดตรงหน้าเคาน์เตอร์ ดวงตากลมโตจ้องมองหญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านหลังพนักงานต้อนรับหญิงอีกคนด้วยแววตาท้าทาย ดูจากการแต่งตัวไม่แคล้วว่าเธอคงเป็นผู้จัดการของที่นี่นั่นเอง หล่อนคือคนที่ส่ายหน้าปฏิเสธคำขอของเขาเมื่อครู่ พอถูกเขาจ้องใบหน้าที่แต่งแต้มเครื่องสำอางค์เอาไว้อย่างพอดิบพอดีก็เชิดขึ้นเล็กน้อยก่อนจะยอมเปิดปากเสวนากับเขาได้ในที่สุด

          "คุณรีไวล์เป็นแขกวีไอพีของเราคืนนี้ และไม่ได้มีการแจ้งเอาไว้ล่วงหน้าว่ามีแขกท่านอื่นอีกนอกจากคุณแอนเดอร์สัน ทางเราจึงต้องทำการตรวจสอบอีกครั้งอย่างละเอียดค่ะ"

          "อ้อ...งั้นผมจะบอกคุณใหม่อีกครั้งก็แล้วกัน เมื่อกี้ผมคงใช้คำพูดผิดไป คุณรีไวล์นัดให้ผมมาเจอที่นี่ รบกวนคุณช่วยบอกเขาหน่อยได้ไหมว่าผมมาถึงแล้ว แต่ไม่มีเงินจ่ายค่าแท็กซี่น่ะ...คุณพนักงาน"  เอเลนเลือกใช้น้ำเสียงและแววตาดูแคลนฝ่ายนั้นอย่างจงใจ พอเห็นท่าทางกระอักกระอ่วนเหมือนคนอมแมลงวันไว้ในปากของหล่อน ก็อดที่จะรู้สึกสะใจนิดๆไม่ได้ แม้แต่พี่ชายคนขับแท็กซี่ที่ตามมายืนข้างๆยังแอบยกนิ้วให้ เขาเกลียดการดูถูกดูแคลนคนที่ด้อยกว่าตัวเองมาตลอด แต่ไม่เคยรังเกียจที่จะทำแบบเดียวกันกับคนที่ทำแบบนั้นกับเขาก่อน ต่อให้ฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้หญิงก็ตาม

          "รบกวนรอสักครู่ค่ะ"  หล่อนตอบทั้งที่ปลายคางยังเชิดสูง บ่งบอกถึงความถือตัวที่มีอยู่เหลือล้น ทว่ายังรักษาภาพลักษณ์ของตนได้อย่างดีเยี่ยมด้วยการหันไปพยักหน้าให้พนักงานสาวที่ยืนอยู่ข้างกัน เอเลนยืนรออยู่ตรงนั้นจนกระทั่งพนักงานคนดังกล่าวยกหูโทรศัพท์ขึ้น แต่เธอยังไม่ทันได้กรอกเสียงไปตามสาย เสียงคุ้นเคยเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะซะก่อน

          "เกิดอะไรขึ้น?"  

          เอเลนหางตากระตุกไปวูบหนึ่งเมื่อได้ยินเสียงนั้น เสียงฝีเท้าของฝ่ายตรงข้ามดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ใบหน้ามนแอบสบถในใจอย่างหัวเสียที่ทุกอย่างกำลังจะผ่านไปด้วยดีแท้ๆแต่ดันมีมารผจญเข้ามาขวางอีกจนได้ 

          "ฉันถามว่า...."  เจ้าของเสียงคุ้นเคยถามขึ้นมาอีกครั้ง แต่อยู่ๆก็ชะงักไปเสียดื้อๆ เดาว่าฝ่ายนั้นคงเห็นแล้วว่าเขายืนอยู่ตรงนี้ งั้นก็ช่วยไม่ได้...ใบหน้ามนสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก่อนจะค่อยๆหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้ากับฝ่ายตรงข้าม

          "เอเลน!?..."  แม้จะแอบคิดในใจว่าฝ่ายนั้นคงตกใจไม่น้อยที่เจอหน้าเขาที่นี่ แต่ดูจากสีหน้าตอนนี้แล้ว อีกฝ่ายคงตกใจมากจริงๆ คนตรงหน้าเขาคือชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ตามแบบฉบับของชาวตะวันตกคนหนึ่ง ใบหน้าหล่อเหลาที่มักจะมองเขาด้วยแววตาอ่อนโยนเมื่อในอดีต ในตอนนี้กลับกำลังสะท้อนอารมณ์ที่หลากหลายจนดูน่าขัน ทั้งคู่สบตากันอยู่แบบนั้นเนิ่นนานทีเดียว ก่อนเอเลนจะเป็นฝ่ายทักออกไปพร้อมเหน็บรอมยิ้มบางๆที่มุมปาก

          "ไง...ดูท่าทางนายสบายดีนี่ ว่าแต่รีแอ็คชั่นแบบนั้นมันอะไรกัน?"

          ฝ่ายตรงข้ามไม่ตอบโต้ใดๆ แต่กลับก้าวฉับๆเข้ามาทำท่าเหมือนจะคว้าตัวเขาเข้าไปกอด? ราวกับเดาความคิดของฝ่ายนั้นออก เอเลนรีบถอยหลังไปสองสามก้าวก่อนจะยื่นมือออกมาไปตรงหน้าชายหนุ่ม 

          "เฮ้!...ถ้าอยากจะทักทายกัน แค่จับมือก็พอแล้วมั้ง?...ไรเนอร์"  อันที่จริงเขาไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตัวเองพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับคนตรงหน้าแล้วหรือไม่? แต่เห็นได้ชัดว่าเขาควบคุมต้วเองได้ดีกว่าอีกฝ่ายมาก ถึงแม้ว่ามือไม้จะยังสั่นนิดๆ หรือแม้กระทั่งหัวใจที่เริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะจะโคนผิดเพี้ยนไปหมดแล้วก็ตาม เขาอุตส่าห์แอบคิดเข้าข้างตัวเอง ว่าคงไม่ดวงซวยเจอคนรู้จักแถวนี้แล้วแท้ๆ แต่ก็นั่นอีกนั่นแหละว่า เพราะอีกฝ่ายเป็นทายาทเจ้าของที่นี่ ก็ย่อมต้องแวะเวียนมาดูกิจการของตัวเองอยู่แล้ว แถมเขายังถูกพนักงานรักษาความปลอดภัย ยืนประกบแจทั้งซ้ายขวาแบบนี้อีก เป็นเจ้าของคนไหนเดินผ่านก็ต้องแวะมาดูกันทั้งนั้น

          "อ้อ!...โทษที ฉัน..."  ไรเนอร์เอ่ยตะกุกตะกัก ก่อนนัยน์ตาสีเปลือกไม้จะเหลือบมองไปรอบๆถึงเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองกำล้งยืนอยู่ ท่ามกลางสายตาของคนกว่าครึ่งร้อย ชายหนุ่มยื่นมือมาจับมือบางเขย่าเบาๆแค่สองทีก่อนจะรีบปล่อยอย่างรวดเร็ว

          "นี่เพื่อนสมัยเรียนมหา'ลัยของฉัน เดี๋ยวที่เหลือฉันจัดการเอง"  ไรเนอร์หันกลับไปบอกพนักงานต้อนรับหลังเคาน์เตอร์ ก่อนจะพยักหน้าให้กับพนักงานรักษาความปลอดภัยทั้งสองคน ทุกอย่างดูเหมือนจะคลี่คลายไปในทางที่ดี ผู้คนของข้างเริ่มขยับกายแยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทาง แม้จะรู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง แต่เอเลนกลับรู้สึกหนักอึ้งในใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

          แน่ล่ะว่าพวกเขาเคยเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน ที่ถูกต้องคืออีกฝ่ายเป็นรุ่นพี่ของเขาหนึ่งปี ถึงจะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆที่รู้จักกัน แต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่กล้บรุดหน้าไปมาก มากจนถึงขั้นที่เรียกได้เต็มปากว่า 'คนรู้ใจ' และคงเพราะความสัมพันธ์ของพวกเขาจบลงไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ การที่ต้องมาเจอหน้ากันในสถานการณ์แบบนี้มันเลยชวนให้อึดอัดใจยังไงชอบกล?

          "ไปกันเถอะ"  ชายหนุ่มลุนหลังเอเลนให้เดินไปอีกฟากหนึ่งของล๊อบบี้ แม้จะไม่ค่อยเต็มใจนักแต่เอเลนก็ยอมเดินไปกับอีกฝ่ายแต่โดยดี อย่างน้อยก็ยังดีกว่ายืนเป็นเป้าสายตาของคนอื่นอยู่ตรงนั้น

          "ดื่มอะไรหน่อยมั้ย? เดี๋ยวฉันสั่งให้เด็กยกมาให้"  ฝ่ายนั้นพูดพลางเลื่อนเก้าอี้ให้เจ้าตัวจึงรีบส่ายหน้าปฏิเสธ

          "ไม่ล่ะ ฉันกำลังรีบ...พอดีนัดคนรู้จักไว้น่ะแต่ติดปัญหานิดหน่อย"  เอเลนตอบ พลางเหลือบสายตาไปทางพี่ชายคนขับแท็กซี่เพื่อบอกฝ่ายตรงข้ามเป็นนัย ตอนนี้เองที่อีกฝ่ายเพิ่งรู้ตัวว่าเขาไม่ได้มาแค่คนเดียว

          "อ้อ!...พี่ชายท่านนี้คือ?"

          "ฉันตามมาเก็บค่าแท็กซี่จากเด็กนี่ 90ปอนด์"  ฝ่ายนั้นตอบพลางชี้หัวแม่มือทางเขาด้วยท่าทางภาคภูมิอกภูมิใจ? จนเขาได้แต่ลอบถอนหายใจอย่างปลงๆอีกครั้ง โดนบวกไปอีกห้าปอนด์แล้วสินะ?

          "งั้นเดี๋ยวผม...."

          "ไม่ถึงกับต้องลำบากนายหรอกไรเนอร์!"  เอเลนรีบแย้งขึ้นทันควัน เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำท่าจะล้วงกระเป๋าสตางค์  "ฉันบอกไปแล้วว่าฉันมีนัดกับคนรู้จักที่นี่ หน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบมันควรจะเป็นเค้าต่างหาก"  ได้ยินแบบนั้น ไรเนอร์ถึงกับหน้าเจื่อนไปถนัดตา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาพูดแรงเกินไป หรือเป็นเพราะอีกฝ่ายกำลังเข้าใจความหมายที่เขาต้องการจะสื่อผิดเพี้ยนไปกันแน่? แต่เอเลนไม่มีแก่ใจจะมานั่งอธิบายขยายความให้เจ้าตัวฟัง

          "แล้ว...นายนัดกับใครไว้ล่ะ มีอะไรที่ฉันพอจะช่วยได้ก็บอกมาได้เลย"  ไรเนอร์เอ่ยขึ้นยิ้มๆ ถึงแม้จะยังหลงเหลืออาการประดักประเดิดอยู่บ้าง เอเลนแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นท่าทางแปลกๆของชายหนุ่มด้วยการเสมองไปทางอื่น ก่อนตอบ  "แน่นอน ฉันนัดกับคุณรีไวล์เอาไว้น่ะ นายรู้จักใช่มั้ย?...เค้าบอกให้ฉันโทรหาเค้าทันทีที่มาถึง แต่ฉันดันลืมมือถือกับกระเป๋าไว้ที่ห้องพัก จะขอบคุณมากถ้านายให้ใครสักคนไปบอกเค้าว่าฉันมาถึงแล้ว"

          "...รีไวล์ อัคเกอร์แมนหรือ?"

          "ใช่...มีปัญหาอะไรรึเปล่า?"

          "อ้อ!...เปล่าๆไม่มีอะไร...งั้นรอเดี๋ยวนะ"  ชายหนุ่มตอบก่อนจะยืดตัวยืนตรง

          "ขอบคุณ"  ฝ่ายนั้นยิ้มรับคำขอบคุณของเขา ก่อนจะเดินตรงไปยังเคาน์เตอร์ แล้วถามอะไรบางอย่างกับพนักงานต้อนรับ เขารู้ ว่าไรเนอร์รู้จักคุณรีไวล์เป็นอย่างดี และเชื่อด้วยว่าอีกฝ่ายก็รู้เช่นกันว่าคืนนี้ คนคนนั้นเป็นแขกของที่นี่ ในเมื่อโรงแรมแห่งนี้มีครอบครัวบราวน์ เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ แต่ที่เจ้าตัวทำหน้าตกใจแบบนั้น คงเพราะไม่คิดว่าเขาจะรู้จักกับคนคนนั้นมากกว่า

          ที่จริงเขาก็พอจะรู้ข่าวคราวของไรเนอร์จากอาร์มินมาบ้าง ว่าอีกฝ่ายกำลังเตรียมตัวเป็นผู้บริหารที่นี่ต่อจากผู้เป็นพ่อ แถมยังหมั้นหมายกับลูกสาวผู้ถือหุ้นใหญ่อีกรายไปเมื่อเร็วๆนี้ เห็นว่าจะจัดงานแต่งกันช่วงสิ้นปี เขาถึงได้หลีกเลี่ยงที่จะแวะเวียนมาระแวกนี้โดยตลอด พอลองนับนิ้วดูก็เหลืออีกแค่สองเดือนก็จะสิ้นปีแล้ว ถึงตอนนั้นเขาคงนอนอ่านข่าวงานแต่งของอีกฝ่ายจากหนังสือพิมพ์สักฉบับอยู่ที่ห้องเช่าตัวเองกระมั้ง

          พอคิดแบบนั้นก็ให้รู้สึกขำขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แต่จนแล้วจนรอดก็หัวเราะไม่ออก ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะเศร้าหรือเสียใจที่คนรักเก่าจะแต่งงานหรืออะไรทำนองนั้นหรอกนะ แต่เป็นเพราะพอถึงตอนนั้น คนคนนั้นก็จะไม่อยู่แล้วเช่นกันต่างหาก ทั้งที่ไม่รู้ว่าอีกสองเดือนที่เหลือพวกเขาจะยังอยู่ด้วยกันหรือเปล่า? แต่พอคิดว่าวันนั้นจะมาถึงในอีกไม่ช้า ในใจก็รู้สึกเหงาขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

          "เอเลน?"  ใบหน้ามนถึงกับผงะไปเมื่อจู่ๆ ชายหนุ่มอีกคนที่ไม่รู้ว่าเดินกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่เอื้อมมือมาแตะที่แก้มของเขา อารามตกใจทำให้เอเลนปัดมืออีกฝ่ายทิ้งโดยแรง ทำให้มือของไรเนอร์ค้างเติ่งอยู่กลางอากาศแบบนั้นหลายวินาที ก่อนเจ้าตัวจะรีบชักมือกลับไปซุกไว้ในกระเป๋ากางเกงด้วยรอยยิ้มเก้อๆ ใจจริงเขาอยากจะขอโทษอีกฝ่าย บอกว่าไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนั้น แต่ปากมันไม่ยอมขยับจึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย

          "ไปกันเถอะ...เดี๋ยวฉันไปส่ง"  

          "อืม..."  ใบหน้ามนลุกจากเก้าอี้เดินตามหลังอีกฝ่ายไป แต่ก้าวขาไปได้เพียงสองก้าว พวกเขาทั้งสามคนก็จำต้องหยุดอยู่กับที่อีกครั้ง เมื่อตรงหน้าของพวกเขามีหญิงสาวคนหนึ่งยืนขวางทางอยู่ ด้านหลังของเธอมีพนักงานรักษาความปลอดภัยยืนประกบอยู่ห้าหกคน เอเลนจำได้ขึ้นมาเลาๆว่าผู้หญิงคนนี้คือคู่หมั้นของไรเนอร์ไม่ผิดแน่ เขาไม่รู้จักหล่อนเป็นการส่วนต้ว แต่ดูจากสีหน้าแววตาของเธอแล้ว เดาว่าคงรู้เรื่องของเขาไม่น้อยเลยทีเดียว

          ไม่รู้ทำไม?...เขาถึงได้รู้สึกว่ากำลังจะมีโศกนาฏกรรมเกิดขึ้นเร็วๆนี้?

          "เบธ!...มาทำอะไรที่นี่?"  ไรเนอร์ตรงเข้าไปถามเธอด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ  โดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย หล่อนผลักไรเนอร์ออกไปให้พ้นทาง ก่อนจะสาวเท้ายาวๆเดินตรงมาที่เอเลน แม้จะค่อนข้างมั่นใจว่าเธอคงไม่ได้เข้ามาขอจับมือเขาแน่ๆ แต่เพราะคาดเดาไม่ได้ว่าฝ่ายนั้นกำลังจะทำอะไรเอเลนจึงไม่ทันได้ขยับเท้าถอยห่าง

          จนกระทั่งเธอคนนั้นคว้าอะไรบางอย่างบนโต๊ะด้านข้างแล้วฟาดมันใส่หน้าเขาเต็มแรง เอเลนได้ยินเสียงพี่ชายคนขับแท็กซี่ตะโกนขึ้นสุดเสียงจนหูเขาแทบดับว่า 'ระวังง!!' แต่ช้าไป....

          วูบหนึ่งที่เขารู้สึกหน้ามืดจนเซถอยหลังไปหลายก้าว  โชคดีที่ใครบางคนประคองเขาไว้ก่อนที่จะล้มพับลงไปกองกับพื้น ซีกหน้าด้านซ้ายชาดิกไปทั้งแถบจนไม่หลงเหลือความรู้สึกอื่น ใบหน้ามนต้องใช้เวลาประมวลอยู่ครู่หนึ่ง ถึงได้รู้ตัวว่าตัวเองคงถูกของแข็งบางอย่างฟาดเข้าที่หน้าเต็มเปา ทุกคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นต่างก็พากันอ้าปากค้าง เบิกตากว้างมองมายังเขา ราวกับเขาเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกอย่างที่แปดก็ไม่ปาน?

          "นาย!...ไหวมั้ย?"  ใบหน้ามนขมวดคิ้วก่อนจะแงะหน้ามองเจ้าของเสียง พบว่าคนที่ประคองเขาเอาไว้คือพี่ชายคนขับแท็กซี่นั่นเอง เขาพยักเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร แต่ฝ่ายนั้นกลับยังมีสีหน้าตกใจไม่เลิก จังหวะเดียวกันกับเสียงวัตถุอะไรบางอย่างหล่นลงพื้นดัง 'เคร้ง' ท่ามกลางความเงียบงัน เรียกสายตาทุกคู่ที่เคยจ้องมาที่เขาให้ย้ายเป้าหมายไปยังวัตถุสิ่งนั้นโดยพร้อมเพรียงกัน

          เอเลนที่ยังมึนๆเบลอๆ เพ่งมองวัตถุชิ้นนั้นบ้าง ถึงรู้ว่ามันคือที่เขี่ยบุหรี่คริสตัลอันหนึ่ง คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นมันวางอยู่บนโต๊ะเมื่อครู่ แต่ตอนนี้มันกำลังหมุนติ้วๆอยู่แทบเท้าของผู้หญิงคนนั้น แถมยังมีรอยเปื้อนด้วยสีแดงเป็นวงกว้างอีกต่างหาก?

          "อ้อ~..."  ใบหน้ามนครางเบาๆในลำคอ คล้ายคนเพิ่งบรรลุแจ้งเอาตอนนี้ ขมับซีกซ้ายเจ็บจี้ดขึ้นมาแบบปัจจุบันทันด่วนจนต้องยกมือขึ้นไปกุมเอาไว้ ของเหลวเหนอะหนืดที่สัมผัสใต้ฝ่ามือตอนนี้ ก็คงเป็นของเหลวชนิดเดียวกันกับที่เปื้อนอยู่บนที่เขี่ยบุหรี่คริสตัลนั่นแหละ! ที่แท้เขาก็โดนไอ้นั่นฟาดหน้าเองหรือนี่? มิน่าเล่า!...สมงสมองของเขาถึงได้เบลอไปหมดแบบนี้?

          แถมยังเจ็บฉิบหาย!!....

          "หล่อนทำบ้าอะไรลงไป!!?"  เอเลนเพิ่งจะขยับปากได้ไม่ถึงเซ็นติเมตร แต่ชายหนุ่มอีกคนที่ดูจะตั้งสติได้ก่อนใครเพื่อน กลับตวาดคู่หมั้นของตัวเองดังลั่น จนแม้แต่เอเลนเองยังสะดุ้งตามด้วยความตกใจ แต่พอเห็นเลือดจากขมับตัวเองหยดลงมาเปื้อนสูทชุดใหม่ที่เพิ่งซื้อมา เจ้าตัวก็ได้แต่สบถในใจอย่างหัวเสียว่า 'ชุดมันแพงนะโว้ย!'

          "นายนั่นแหละ!!...กล้าดียังไงถึงได้หนีออกจากห้องประชุมมาหาไอ้โสเภณีชั้นต่ำนี่!!"  เมื่อครู่ว่าไรเนอร์เสียงดังแล้ว แต่ฝ่ายหญิงกลับแผดเสียงที่ดังกว่า ผู้คนรอบข้างทั้งที่อยู่ใกล้และไกลต่างจับกลุ่มรุมเข้ามามุงอีกครั้ง บางคนถึงขั้นหยิบมือถือออกมาถ่ายคลิปไว้กันเลยทีเดียว เอเลนชักรู้สึกปวดหัวจี๊ดขึ้นมาอีกระลอก ที่จู่ๆก็ถูกดึงเข้าไปเอี่ยวเรื่องผัวเมียทะเลาะกัน แถมยังถูกประจานเรื่องอาชีพการงานในที่สาธารณะอีกต่างหาก

          "มันไม่ใช่อย่างที่เธอคิด!!...เลิกทำตัวงี่เง่าแบบนี้ซะที!!"

          "แล้วใครจะทำไม!?...ฉันไม่อนุญาตให้ไอ้โสเภณีสกปรกนี่เข้ามาในโรงแรมของฉัน!! ลากคอมันออกไป!!"  จบประโยคของหล่อน พนักงานรักษาความปลอดภัยห้าหกคนที่ด้านหลังก็กรูกันเข้ามาหาพวกเขาทั้งคู่ พี่ชายคนขับแท็กซี่จึงรีบกันเขาไว้ที่ด้านหลังแล้วใช้ตัวเองเป็นโล่บังเอาไว้

          "ก็ลองเข้ามาสิโว้ย!"  อีกฝ่ายคำรามลั่น ทำให้ฝ่ายตรงข้ามลังเลเล็กน้อย แต่คำสั่งของเจ้านายถือเป็นวาจาสิทธิ์ที่ไม่สามารถขัดได้

          "ลากคอมันออกไป!!...เอาไอ้ตัวร่านนี่ออกไปจากโรงแรมของฉัน!!"  หล่อนแหกปากตะโกนประโยคเดิมซ้ำๆเป็นนกแก้วนกขุนทอง เอเลนได้ยินเสียงไรเนอร์ตะโกนขัดขึ้นมาเบาเท่าเสียงแมลงหวี่ ขนาดจะวิ่งเข้ามาห้าม แค่ถูกคู่หมั้นยกแขนกั้นไว้เจ้าตัวยังไม่มีปัญญาฝ่ามาถึงตัวเขาได้ ใบหน้ามนแทบจะอยากหัวเราะออกมาดังๆ เมื่อมองเห็นอนาคตของคนรักเก่าอยู่รำไร ถ้าไม่ติดว่า พี่ชายคนขับแท็กซี่กำลังกระโจนเข้าไปตะลุมบอนกับกลุ่มพนักงานรักษาความปลอดภัยตรงหน้าแล้ว!

          "เฮ้!!...พี่ชาย!!?"  ความโกลาหลอลหม่านเริ่มต้นขึ้น ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของแขกคนอื่นๆ เอเลนตะโกนเรียกฝ่ายนั้นด้วยความตกใจ อีกทั้งยังไม่เข้าใจว่าทำไมพี่ชายคนขีถึงช่วยกันคนพวกนั้นเอาไว้ให้ตัวเอง? แต่คนเพียงคนเดียวหรือจะสู้หมาหมู่ได้?

          เมื่อฝ่ายตรงข้ามมีกองหนุนตามมาช่วยอีกหนึ่งโขยง ส่งผลให้มีพนักกลุ่มหนึ่งหลุดลอดแนวป้องกัน และย่างสามขุมตรงมาที่เขา เอเลนรีบถอยกรูไปด้านหลัง แต่เพราะรีบมากเกินไปร่างบางจึงสะดุดขาตัวเองหงายหลังล้มก้นจ้ำเบ้าอย่างทุลักทุเล พอเห็นเขาพลาดท่า พนักงานกลุ่มนั้นก็รีบกรูเข้ามาราวกับฝูงไฮยีน่าเจอลูกกระต่ายบาดเจ็บ!

          "อย่าแตะต้องตัวผม!!"  เขาหลับหูหลับตาตะโกนออกไปจนสุดเสียงขณะยกแขนทั้งสองข้างขึ้นมาตั้งการ์ดกันใบหน้าตัวเองไว้ ใบหน้ามนหลับตาปี๋ เตรียมตัวเตรียมใจถูกกระชากลากถูอย่างเต็มที่ รออยู่อย่างนั้น หนึ่งวินาที...สองวินาที...สามวินาที  ก็แล้ว...แต่กลับไม่มีมือของใครแตะตัวเขาเลยสักคน? ด้วยความสงส้ยเอเลนรีบหรี่ตาข้างหนึ่งขึ้นมอง จึงทันได้เห็นภาพของพนักงานรักษาความปลอดภัยร่างยักษ์ ลอยวืดกระเด็นกระดอนออกไปทีละคนสองคน ก่อนจะร่วงหล่นลงไปกองเป็นผ้าขี้ริ้วอยู่บนพื้น?

          ดวงตาสีเขียวมรกตเบิกกว้างด้วยความตกใจ ครู่หนึ่งที่เขาคิดว่าคำพูดของต้วเองศักดิ์สิทธิ์จนถีบคนออกไปได้โดยไม่ต้องขยับเท้าซะอีก!? แต่พอลดท่อนแขนลงถึงเพิ่งเห็นว่ามีท่อนขาปริศนาของใครบางคนกำลังลดระดับลงแตะพื้นอย่างนุ่นนวลอยู่ข้างๆ ก่อนจะก้าวออกไปด้านหน้า ยืนขวางทางระหว่างคนพวกนั้นกับเขาเอาไว้

          แผ่นหลังคุ้นเคยของใครบางคนที่ปรากฏสู่สายตา ช่วยเยียวยาจิตใจที่กำลังเคว้งคว้าง คล้ายกำลังเดินหลงทางอยู่ในเขาวงกตให้เจอทางออกได้ในที่สุด จู่ๆขอบตาก็ร้อนผ่าวขึ้นมาเป็นครั้งแรก ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาเจอเรื่องแย่ๆมาตั้งมากมาย ยังไม่เคยคิดอยากจะร้องไห้เลยสักครั้ง แต่แค่คนคนนี้ปรากฏตัวน้ำตาก็พาลจะใหลลงมาเสียดื้อๆ จนต้องรีบเบนสายตามองไปทางอื่น

          ทุกอย่างราวกับหยุดชะงักอยู่กับที่อีกครั้ง ต่างกันตรงที่คราวนี้ถูกปกคลุมด้วยแรงกดดันมหาศาลจากคนเพียงคนเดียว ทุกคนรอบข้างต่างก็ถอยกรูไปด้านหลังคนละก้าวสองก้าว ไม่เว้นแม้กระทั่งกลุ่มฝรั่งมุงที่อยู่โดยรอบบริเวณ เพราะยังนั่งจุมปุ๊กอยู่ด้านหลัง เอเลนจึงไม่รู้ว่าตอนนี้คนตรงหน้ากำลังทำหน้าแบบไหนอยู่ คนพวกนั้นถึงได้กลัวหัวหดกันขนาดนั้น แต่จากบรรยากาศที่สัมผัสได้ พอลองมาคิดๆดูแล้ว...ไม่เห็นน่าจะดีที่สุด

          "ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า พนักงานที่นี่เขาต้อนรับแขกด้วยวิธีที่อึกทึกครึกโครมแบบนี้?"  ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน ด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบดุจผืนน้ำทว่ากลับแฝงเอาไว้ด้วยความเย็นชา จนคนฟังขนลุกเกรียวไปทั้งตัว จังหวะนั้นเองที่มีชายหญิงวัยกลางคนคู่หนึ่งแหวกฝูงคนเข้ามากลางวงพอดี ถ้าจำไม่ผิด ทั้งสองคนคือหนึ่งในผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของที่นี่ ดูจากความรีบร้อนของพวกเขา คงจะมีใครสักคนโทรไปรายงานอย่างละเอียดยิบแล้วก็เป็นได้

          "คุณรีไวล์ครับ!...ได้โปรดรับคำ...."  ชาววัยกลางคนที่เพิ่งมาถึงที่เกิดเหตุ ตรงดิ่งเข้ามาทำท่าจะก้มหัวขอโทษชายหนุ่ม แต่คุณรีไวล์กลับยกมือห้ามเอาไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะทันได้พูดจบประโยค

          "พวกคุณรอคุยกับทนายของผมพรุ่งนี้ก็แล้วกัน แต่ผมรับประกันได้อย่างหนึ่งว่า เรื่องนี้จะไม่จบแค่รับคำขอโทษแน่นอน"  ใบหน้าคนฟังดูบิดเบี้ยวไปทันทีที่ได้ยินแบบนั้น หากแต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากหันกลับไปถลึงตาจ้องหญิงสาวตัวต้นเหตุราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

          รีไวล์ไม่คิดจะสนใจปฏิกิริยาของฝ่ายตรงข้าม เขาหันกลับมามองคนที่ยังนั่งแหมะอยู่กับพื้น ก่อนจะเดินไปย่อตัวนั่งยองๆตรงหน้าร่างบาง พวกเขาจ้องตากันและกันก่อนทั้งคู่จะหลุดหัวเราะออกมาเสียงหนึ่ง

          "ท่าทางของฉันเป็นไงบ้าง? เข้มพอรึเปล่า?"  ชายหนุ่มถามยิ้มๆ เอเลนไม่ตอบคำ เจ้าตัวทำเพียงแค่หัวเราะออกมาก่อนจะพยักหน้ารับแทนคำตอบ  คนถามพยักหน้าช้าๆเป็นเชิงรับรู้ รอยยิ้มบางๆยังคงประดับอยู่บนริมฝีบางเฉียบ

          ชายหนุ่มหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดคราบเลือดที่บริเวณขมับซ้ายออกให้อย่างเบามือ ก่อนจะกดเอาไว้แบบนั้นเพื่อห้ามเลือดที่ย้งไม่หยุดไหล ให้ใบหน้ามนได้แต่หยีหน้าหยีตาด้วยความเจ็บ ท่าทางตลกๆของร่างบางทำเอาชายหนุ่มถึงกับหลุดหัวเราะออกมา ด้วยความหมั่นไส้เอเลาจึงแย๊บหมัดใส่ชายหนุ่มอย่างไม่ออมแรงนัก

          "คุณมาช้านะรู้ตัวรึเปล่า?"  เอเลนกระเซ้าอีกฝ่ายด้วยสายตาจิกกัด

          "อืม...เพราะมัวแต่นั่งรอสายจากคนบางคนล่ะนะ"  รีไวล์เองก็ตอบกลับแบบควันเช่นกัน แม้น้ำเสียงของฝ่ายนั้นจะกลั้วเสียงหัวเราะ แต่พอนึกความความจริงข้อนี้ เอเลนก็หน้าม่อยลงไปถนัดตา

          "ก็มันช่วยไม่ได้นี่!...ผม...ลืมมือถือน่ะ แถมยัง..."

          "ติดค่าแท็กซี่ฉันด้วย!"  จู่ๆก็มีเสียงๆหนึ่งดังทะลุขึ้นมากลางปล้อง เล่นเอาใบหน้ามนได้แต่ยิ้มแหยๆ ก่อนจะหันไปค้อนขวับให้พี่ชายคนขับแท็กซี่ที่ไม่รู้ว่าเจ้าตัวมายืนตั้งการ์ดระวังหลังให้ตั้งแต่เมื่อไหร่? แต่พอหันกลับมามองคนตรงหน้า ก็พบว่าฝ่ายนั้นกำลังยิ้มอยู่
.
.
.
.
.
....TBC.......

ตัดฉับๆๆๆ!!!!


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น