24 ต.ค. 2559

Attack on titan Au.Fic [Levi x Eren]  Lolita : 08

 Attack on titan Au.Fic [Levi x Eren]  Lolita : 08

:Fanfiction Attack on titan


:Pairing : Levi x Eren


:Genres : E+Ro+Man+tic


:Rate : PG-15


คำเตือน : บทความต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชายหากท่านใดไม่ต้องการรับรู้กรุณากดปิดขอบคุณค่ะ







         สิ่งแรกที่ปรากฏสู่สายตาหลังจากลืมตาตื่นขึ้นมาคือภาพผู้ชายคนหนึ่งกำลังยืนจ้องโถปลาทองของเขาเขม็ง ใบหน้าหล่อเหลานั้นเรียบเฉยจนยากจะเดาอารมณ์ว่ากำลังคิดสิ่งใด หากแต่มือหนาข้างหนึ่งกลับหยิบอาหารปลาข้างๆกันโรยลงไปในโถเป็นระยะๆ จะว่าอีกฝ่ายนึกเอ็นดูเจ้าพลูโตก็ไม่น่าจะใช่เพราะอาหารปลาเม็ดเล็กละเอียดพวกนั้นกำลังทับถมกันเป็นแพลอยเอื่อยอยู่บนผิวน้ำและดูเหมือนว่ามันจะหนาขึ้นเรื่อยๆ?


          ใบหน้ามนถึงกับอึ้งไปพักหนึ่งก่อนจะซุกหน้าลงกับหมอนกลั้นเสียงหัวเราะกับการกระทำของฝ่ายนั้นอย่างห้ามไม่อยู่ เขาสัมผัสได้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าคงมีบางอย่างที่ทำให้ผู้ชายคนนี้ไม่พอใจแต่ไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะเป็นเจ้าพลูโตไปได้

          เสียงหัวเราะสดใสที่หลุดออกมาจนได้ ทำให้มือที่กำลังจะหยิบอาหารโปรยลงไปอีกหยุดชะงักอยู่กับที่ นัยน์ตาสีขี้เถ้าเหลือบมองคนที่ซุกหน้าอยู่กับหมอนกลั้นหัวเราะจนไหล่บางๆนั่นสั่นหงึกๆแล้วก็ให้หงุดหงิดขึ้นมาทันตา

          หงุดหงิดที่ตัวเองทำอะไรไม่สมกับตัวเขา...มีอย่างที่ไหนมาหึงได้แม้กระทั่งปลาทองหน้าโง่นี่? ที่จริงแล้ว...ต้องบอกว่ากำลังหึงคนที่ซื้อเจ้าบอลลูนลอยน้ำได้ตัวนี้ให้อีกฝ่ายถึงจะถูก


          "มีอะไรน่าขำ?"   ชายหนุ่มถามเสียงเข้ม ใบหน้ามนทำเพียงแค่สูดหายใจลึกๆอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยันตัวเองลุกขึ้นทั้งที่รอยยิ้มขบขันยังไม่หายไปจากใบหน้า


          "คุณไม่ได้จงใจหรอกใช่มั้ย?"   พูดพลางใช้ช้อนกาแฟตักเจ้าอาหารปลาที่มีมากจนเกินไปมาใส่แก้วกาแฟเปล่าโดยไม่ได้หันกลับมามอง 'ว่าที่ฆาตกร'ที่พยายามฆ่าปลาทองตัวเอง

          รีไวล์ค่อยๆโรยเม็ดอาหารปลาที่เพิ่งหยิบขึ้นมาคืนที่เดิม ก่อนจะซุกมือเข้ากับกระเป๋ากางเกงอย่างเนียนๆ แต่ไม่ได้ตอบคำถามของฝ่ายนั้น เพราะต่อให้ถูกจับได้แบบคาหนังคาเขา เขาก็ไม่มีทางพูดหรอกว่าเขา 'ตั้งใจทำ' 


          "จะฆ่ากันให้ตายเลยเหรอฮะ?...ถ้าคุณไม่ชอบบอกผมดีๆก็ได้หนิ"   ใบหน้ามนเงยขึ้นมาค้อนขวับให้เขาทีหนึ่ง แต่ไม่ได้มีท่าทีโกรธขึงอะไร อีกทั้งน้ำเสียงที่ใช้ยังทั้งชิลล์ทั้งขัน รีไวล์ไม่ตอบคำถามนั้น เขาถอยหลังออกมายืนข้างเตียงมองใครบางคนคุยกับเจ้าปลาทองหน้าโง่ด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ

           "อา...คนใจร้ายเกือบจะฆ่าเพื่อนคนแรกของผมแล้วมั้ยล่ะ..."   คราวนี้เจ้าตัวทอดน้ำเสียงครางคล้ายกำลังโอดครวญ ปลายนิ้วเรียวยาวเคาะเบาๆที่ข้างโถหยอกล้อเจ้าลูกบอลลูนลอยน้ำโดยมีเขายืนเป็นแบล็คกราวอยู่ด้านหลัง

          ถึงจะรู้สึกไม่พอใจที่ถูกเมิน แต่วิวที่มองจากตรงนี้ก็ไม่เลวเลยทีเดียว ร่างเปลือยเปล่าของคนบางคนขยับซ้ายขวาโดยมีผ้าห่มปกปิดช่วงล่างเอาไว้อย่างหมิ่นเหม่ชวนมองน้อยเสียเมื่อไหร่? ทว่าคำพูดบางคำของเอเลนกลับดึงเอาความสนใจของเขาออกไปจากวิวตรงหน้าจนหมด


          "...เพื่อนคนแรก?"   คงไม่ได้หมายความว่าเอามาจากเยอรมันด้วยหรอกนะ?  แต่ได้ผล...ใบหน้ามนนั่นยอมหันมามองเขาได้สักที ถึงจะแค่ไม่กี่วินาทีก็ตาม


          "เจ้าของห้องคนเก่าทิ้งมันเอาไว้น่ะฮะ...คงเพราะไม่มีใครเปลี่ยนน้ำให้มันพักใหญ่ ตอนเจอกันครั้งแรกเจ้าพลูโตอาการร่อแร่จนคิดว่าจะไม่รอดแล้ว ผมต้องพามันไปหาหมอเสียเงินไปตั้งสองร้อยปอนด์แน่ะ...ลอนดอนเนี้ยแค่ค่ายาปลาทองยังแพงริบเลยคุณว่ามั้ย?"   ...สองร้อยปอนด์...มันแพงขนาดไหนกันนะ? ตอนนั้นเด็กนี่คงยังอยู่ดีนอนสบายอยู่แน่ๆ ทว่าคำบอกเล่าง่ายๆที่เหมือนกับกำลังพึมพำกับตัวเองของเอเลน ก็ทำให้เขาถึงกับอึ้งไปเพราะนั่นไม่ใช่คำตอบที่เขาคิดว่าจะได้ยิน แต่ก็ไม่คิดว่าเด็กอาร์มินนั่นจะกุเรื่องมาหลอกเขาเช่นกัน ในเมื่อเด็กนั่นเองก็เพิ่งรู้จักสนิทสนมกับเอเลนเมื่อสองสามปีให้หลังนี้เอง

          "ไม่ใช่แฟนเก่านายซื้อให้หรอกหรือ?"   รีไวล์เผลอเอ่ยปากถามออกไป เมื่อเก็บความสงสัยเอาไว้ไม่อยู่


          "เขาเคยซื้อให้ครับ แต่ถูกเจ้าพลูโตกัดตายไปแล้ว คงจะหวงอาณาเขตล่ะมั้งแต่เอ๊ะ?..."   จู่ๆคนตรงหน้าก็ชะงักไป ก่อนจะหันไปมองนาฬิกาแล้วหันกลับมามองเขาด้วยท่าทางแปลกๆ 


          "แปลกจัง ที่วันนี้ผมตื่นขึ้นมาเจอคุณตัวเป็นๆ?...อย่าบอกนะว่าคุณตั้งใจจะฆ่าเจ้าพลูโตจริงๆน่ะ!?"   รีไวล์หลุดหัวเราะออกมาเสียงหนึ่ง เมื่อถูกถามแบบจี้ใจดำเข้าเต็มๆ เขาเหล่มองเจ้าลูกบอลลูนลอยน้ำนั่นด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะดีดหน้าผากคนถามเบาๆ


          "ชั้นยอมรับว่าตอนแรกก็ตั้งใจอย่างนั้น...แต่ตอนนี้ไม่แล้วล่ะ"   พอเขาตอบแบบนั้นเจ้าตัวก็อ้าปากค้างทำตาโต ก่อนจะหลุดหัวเราะพรืดออกมาอย่างสุดกลั้น ชายหนุ่มจึงได้แต่มองร่างที่หัวเราะจนตัวงออยู่ในกลุ่มก้อนสีขาวของผ้าห่มอย่างนึกปลง ทว่าริมฝีปากกลับยกมุมขึ้นสูงตามไปด้วยอีกคน


          เขานั่งลงที่ข้างเตียงแล้วยกหัวสีน้ำตาลขึ้นมาหนุนที่ตักของตัวเอง ช่วยเช็ดน้ำตาที่ซึมออกมาจากหางตาให้อย่างเบามือ หางตาเหลือบมองเรียวขาที่ยกขึ้นพาดหัวเตียงของฝ่ายนั้นอย่างไม่ใส่ใจนัก ถ้าเป็นเมื่อก่อนหากมีใครทำแบบนี้เขาคงเตะกระเด็นออกจากห้องไปนานแล้ว แต่เพราะเขาเลือกที่จะนั่งตรงนี้ให้อีกฝ่ายหนุนตัก เลยทำให้มองข้ามขาเรียวคู่นั้นไปได้โดยง่าย


          "ผมรู้ ว่าคุณไม่ได้ยังอยู่เพื่อฆ่าปลาทองของผมอย่างเดียว...มีเรื่องอะไรอีกใช่มั้ยครับ?"   แม้รอยยิ้มซุกซนจะยังหลงเหลืออยู่บนใบหน้า แต่พอสงบสติอารมณ์ได้เอเลนก็ใช้ปลายนิ้วเกี่ยวเนคไทชายหนุ่มเล่นแล้วเข้าเรื่องกันอย่างจริงจังเสียที


          รีไวล์ครางรับว่า 'อืม' ในลำคอเบาๆโดยที่ฝ่ามือยังลูบไล้คลอเคลียอยู่ที่พวงแก้มและลำคอของคนบนตัก ถึงแม้ว่าเขาอยากจะซักเรื่องแฟนเก่าอะไรนั่นต่ออีกสักหน่อย แต่ตอนนี้หัวข้อสนทนามันเปลี่ยนไปแล้วเลยไม่อยากฟื้นฝอยขึ้นมาให้เสียบรรยากาศ เขาดูออกว่าเอเลนไม่อยากพูดถึงเรื่องนั้นเหมือนกัน ถึงได้เปลี่ยนเรื่องซะแนบเนียนขนาดนี้

            เขาชอบความฉลาดและความเป็นธรรมชาติแบบนี้ของเอเลน ถึงจะมองออกว่ามันเป็นการเสแสร้งส่วนหนึ่ง แต่มันเป็นการเสแสร้งที่เขาสามารถยอมรับได้

          "เย็นนี้ชั้นมีนัดดินเนอร์กับลูกค้า"   คนบนตักเลิกคิ้วสูง ก่อนจะพยักหน้าหงึกๆเป็นเชิงเข้าใจ


          "จะกลับดึกสินะฮะ? แต่ปรกติคุณก็กลับดึกอยู่แล้วหนิ?"


          "เปล่า...ชั้นแค่จะชวนนายไปด้วยกัน"


          "ว้าว!...ทำงานนอกสถานที่ครั้งแรกของผมแบบนั้นหรือเปล่า?"


          ไม่ใช่แค่คำพูดเพียงอย่างเดียว แต่ร่างบางกลับพลิกตัวลุกขึ้นนั่งจ้องหน้าเขาด้วยแววตาเป็นประกายปนเจ้าเล่ห์แปลกๆ? จนรีไวล์หัวเราะขำๆในลำคอ จะว่าไปก็จริง พวกเขาอยู่ด้วยกันมากว่าหนึ่งเดือนแล้ว แต่เขายังไม่เคยพาเด็กนี่ออกไปไหนมาไหนด้วยกันเลยสักครั้ง แน่นอนว่าในตอนที่เขาไม่อยู่เอเลนเองก็ออกไปพบปะเพื่อนฝูงหรือทำธุระของตัวเองบ้าง


          อย่างไรเสียเจ้าตัวก็ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ตั้งหกปีแล้ว คงไม่มีปัญหาเกี่ยวกับเส้นทางสัญจรเหมือนอย่างเขา ทว่านี่กลับเป็นครั้งแรกที่รีไวล์อยากใช้เวลาในช่วงวันหยุดกับใครสักคน และคนคนนั้นต้องเป็นคนที่กำลังจ้องหน้าเขาตาเป็นประกายอยู่ตอนนี้


          "ดีใจขนาดนั้นเชียว?"   รีไวล์ถามยิ้มๆ


          "ก็นี่เป็นครั้งแรกที่จะได้ทำอย่างอื่นนอกจากเซ็กซ์กับคุณนี่นา"  ถูกสวนกลับมาแบบทันควันขนาดนี้ รีไวล์ก็แทบจะสำลักลมหายใจตัวเอง ยังดีที่เขายังตีหน้านิ่งเอาไว้ได้อยู่ แต่ในหัวกลับคิดว่าสุดสัปดาห์นี้เขายังพอมีเวลาว่างบ้างหรือเปล่า


          "งั้นไปปิคนิคตอนสุดสัปดาห์กัน"   เขาเอ่ยปากชวนออกมาโดยไม่รู้ตัว เอเลนดูจะอึ้งไปในวินาทีแรกก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาอีกครั้ง คงเพราะคิดไม่ถึงว่าจะถูกชวนแบบกระทันหันขนาดนี้


         "ฮะฮะ...เรื่องนั้นเอาไว้ที่หลังเถอะครับ มาพูดถึงดินเนอร์คืนนี้ก่อนดีกว่า ที่ไหน? เมื่อไหร่? ว่าแต่คุณแน่ใจนะว่าผมจะไม่เป็นตัวเกะกะน่ะ?...คุยเรื่องงานไม่ใช่หรือ?"   เอเลนรัวคำถามมาเป็นชุดคล้ายเป็นกังวล ผิดจากท่าทางกระตือรือร้นของเจ้าตัวลิบลับ รีไวล์มองคนตรงหน้ายิ้มๆ โดยไม่ได้รู้ตัวเลยว่า แววตาของเขาอ่อนโยนมากขนาดไหน เวลาที่จ้องมองอีกฝ่าย แต่ถึงแม้จะทำไปโดยไม่รู้ตัว เขาก็ไม่คิดจะปิดบังความรู้สึกของตัวเองอยู่แล้วเมื่ออยู่ตรงหน้าเด็กนี่


          "คุณรีไวล์?"   เพราะรู้สึกเหมือนตัวเองจะถูกจ้องจนพรุนไปทั้งตัวเสียก่อน เอเลนจึงโบกมือไปมาตรงหน้าของฝ่ายตรงข้าม แต่โบกได้แค่สองทีฝ่ามือของเขาก็ถูกคว้าเอาไว้ซะก่อน ชายหนุ่มยิ้มกริ่มในแบบที่เขาเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก เล่นเอาเอเลนถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะ แต่ก็รีบเรียกสติตัวเองกลับมาได้โดยไว


          เขาเพิ่งหาข้อมูลข่าวคราวของอีกฝ่ายในอินเตอร์เน็ตเมื่อไม่กี่วันก่อน แน่นอนว่าเพียงแค่พิมพ์ชื่อของชายหนุ่มลงไป ทั้งรูปภาพและข่าวคราวความเคลื่อนไหวต่างๆก็แสดงออกมาเต็มหน้าจอไปหมด มีทั้งประวัติครอบครัวไปจนถึงในช่วงที่อีกฝ่ายยังเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย แล้วเอเลนก็ค้นพบความจริงข้อหนึ่งว่า ไม่ว่าจะผ่านมาแล้วกี่ปีต่อกี่ปี ผู้ชายคนนี้ก็ไม่เคยยกมุมปากยิ้มเลยสักครั้ง อีกทั้งยังหาความเปลี่ยนแปลงจากอดีตจนถึงปัจจุบันแทบไม่ได้เลย จนเขาแอบตั้งฉายาให้ฝ่ายนั้นในใจว่า'หน้าอมตะ'ไปแล้ว


          "ไม่เป็นไร ไม่ใช่นัดที่เป็นทางการขนาดนั้น แล้วก็นี่..."   รีไวล์หยิบเครดิตการ์ดออกมาจากกระเป๋า ก่อนจะวางมันลงบนมือของเจ้าตัว  "หาสูทดีๆใส่ซักชุด แล้วไปหาฉันที่โรงแรมฮิลล์ตันตอนหกโมงเย็น ฉันจะรออยู่ที่นั่น"


          เอเลนพยักหน้ารับสองทีพลางพลิกบัตรเครดิตในมือไปมาแล้วยิ้ม  "คุณชอบแบรนด์ไหนเป็นพิเศษมั้ยฮะ?"


          "ไม่มี"


          "แล้วผมต้องหาชุดแบบไหนเป็นพิเศษรึเปล่า?"


          "ไม่ต้อง แค่ชุดที่นายใส่แล้วดูดีก็พอ"   พอตอบออกไปแบบนั้นอีกฝ่ายก็มองเขาด้วยสายตาจิกกัดนิดๆ ก่อนจะกัดริมฝีปากล่างของตัวเองอย่างคนกำล้งใช้ความคิด


          "แล้วนี่ไม่รวมกับค่าตัวผมใช่มั้ย?"  รีไวล์หลุดหัวเราะออกมาอีกครั้ง เขายกมือขึ้นมานวดขมับเบาๆ เมื่อรู้สึกว่ามันชักจะเริ่มเต้นตุ๊บๆ เอเลนมักจะจู่โจมเขาด้วยคำพูดที่ตรงไปตรงมาเสมอ แถมยังตรงเกินไปจนบางครั้งคนฟังอย่างเขายังรู้สึกกลัว แต่นั่นก็ถือเป็นข้อดี ที่ทำให้พวกเขาเปิดอกคุยกันได้ง่ายขึ้น


           "นี่ไม่รวมกับค่าตัวของนาย  ชั้นให้ต่างหาก อยากใช้เท่าไหร่ก็ตามใจ"   รีไวล์ตอบยิ้มๆ ทำเอาคนฟังค้อนขวับให้เขาทีหนึ่งด้วยข้อหาหมั่นไส้  "งั้นผมไม่เกรงใจนะครับ ถ้าใช้จนเต็มวงเงินก็อย่ามาโวยทีหลังก็แล้วกัน!"  เอเลนเชิดหน้าขึ้นมองชายหนุ่มด้วยแววตาที่บอกให้รู้ว่าเอาจริง แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจคำขู่นั่น


        "ถ้านายไม่ไปขอซื้อ เคนซิงตัน พาเลซจากโรมันซะก่อน วงเงินในบัตรก็คงพอให้นายใช้เล่นๆไปอีกสักสองสามวันล่ะนะ"   คราวนี้คนฟังถึงกับอ้าปากค้างทำตาโตกับคำตอบของอีกฝ่าย เคนซิงตัน พาเลซ การ์เด้น คฤหาสน์สุดหรูของ โรมัน อับราโมวิชเนี่ยนะ? ใครมันจะไปซื้อ!


          "คุณนี่มันฮึ่ย!..."   เอเลนทุบแผ่นอกของชายหนุ่มเต็มแรงครั้งหนึ่ง ไม่ใช่เพราะไม่เชื่อคำพูดของฝ่ายนั้น เขาเชื่อว่าคนตรงหน้ามีเงินมากพออย่างที่พูดจริงๆ และไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากได้อยากมีคฤหาสน์ที่ใหญ่โตหรูหราขนาดนั้น แต่เพราะราคาของมันแพงเกินกว่าที่คนธรรมดาอย่างเขาจะเอื้อมถึงต่างหาก! 124ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ เป็นราคาที่พวกนิตยสารต่างๆ ตีราคาคฤหาสน์หลังนั้นเอาไว้เมื่อปลายปีที่แล้ว แถมมันยังเป็นบ้านหรูที่ติดท็อปเท็นของโลกมาหลายสมัยแล้วด้วย


          "หึหึ...วงเงินในบัตรไม่ได้มากมายขนาดนั้นหรอก แต่ถ้านายอยากได้จริงๆ ชั้นจะลองคุยกับโรมันดู"


          "ผมไม่คุยกับคุณแล้ว!"   เอเลนแยกเขี้ยวใส่อีกฝ่าย ก่อนจะดึงผ้าห่มมาพันรอบตัวเอาไว้ลวกๆ แล้วลุกเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ


          ทว่ายังไม่ทันจะได้งับบานประตู ลูกบิดอีกฝั่งกลับถูกยื้อยุดเอาไว้จากคนที่ลุกตามหลังมาติดๆ


          "เดี๋ยวสิเอเลน!...เรายังคุยกันไม่จบ"


          "ผมรู้แล้วว่าต้องไปพบคุณที่ฮิลล์ตันตอนหกโมงเย็น พร้อมสูทชุดใหม่...ผมจะไปให้ตรงเวลา ไม่ปล่อยให้คุณขายหน้าลูกค้าหรอกน่าสบายใจได้"   รีไวล์อมยิ้มเมื่อได้ฟังคำตอบ ก่อนจะยอมปล่อยลูกบิดประตูแต่โดยดี


          "ชั้นจะวางนามบัตรไว้ที่หัวเตียง ไปถึงแล้วโทรหาชั้นด้วยเข้าใจมั้ย?"   เขาเอ่ยขึ้นหลังจากบานประตูห้องน้ำปิดสนิท ได้ยินฝ่ายนั้นตอบลากเสียงยาวๆว่า 'คร๊าบบๆ' กลับมาถึงยอมเดินไปหยิบสูทกับกระเป๋าแล้วออกจากห้องพักไป


          ดูเหมือนว่าวันนี้ชายหนุ่มจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ แต่คนที่ยืนพิงผนังในห้องน้ำเองก็อยู่ในห้วงอารมณ์เดียวกัน เมื่อสิ้นเสียงปิดประตูที่หน้าห้อง ใบหน้ามนจึงค่อยลดมือที่ยกขึ้นปิดปากกลั้นเสียงหัวเราะของตัวเองลง


          "จะใจป้ำเกินไปแล้วคุณมหาเศรษฐี"   แม้จะเป็นคำเหน็บแนมเล็กๆ ทว่าริมฝีปากกลับยังประดับรอยยิ้มในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน มันเป็นรอยยิ้มที่แม้แต่เจ้าตัวเองยังตกใจเมื่อเงยหน้าขึ้นมองกระจกบานใหญ่ พอตั้งสติได้เอเลนก็ยกมือถูหน้าตัวเองแรงๆสองสามที แล้วใบหน้าดวงนั้นก็กลับมาเป็นอีกตัวตนหนึ่งของเขาอีกครั้ง




          เอเลนออกจากโรงแรมตอนบ่ายสามโมงตรงไม่ขาดไม่เกิน แล้วเลือกที่จะขึ้นรถไฟใต้ดินตรงไปยังสถานีบอร์นสตรีทอย่างไม่ลังเล เพราะถ้าหากเป็นเสื้อผ้าแบรนด์เนมแล้วล่ะก็ ไม่ว่าใครก็ต้องนึกถึงย่านเมย์แฟร์เป็นแห่งแรกกันทั้งนั้น


         และเพราะแบบนั้น วันนี้เจ้าตัวจึงแต่งกายให้เข้ากับสถานที่เล็กน้อย ด้วยการจิ้กเอาเสื้อเชิ้ตของคนบางคนมาแมตช์กับกางเกงยีนส์และบู้ทคู่ใจของตัวเอง ที่ถึงแม้จะเป็นของที่มีระดับอยู่ในระดับหนึ่ง แต่ทั้งเนื้อทั้งตัวไม่รวมบัตรเครดิตที่อีกฝ่ายให้ไว้ คิดเป็นเงินแล้วยังซื้อกระดุมสักเม็ดของเสื้อเชิ้ตที่สวมอยู่ไม่ได้เลยก็เถอะ ทว่ากับคนที่มีหน้าเป็นอาวุธชั้นดี แถมยังพกเอาความมั่นใจมาเต็มเปี่ยม ย่อมรู้วิธีที่จะทำให้ตัวเองไม่ถูกความเรียบหรูของเชิ้ตแค่ตัวเดียวทำให้ดับได้อยู่แล้ว


          ผู้คนในย่านนี้ค่อนข้างบางตากว่าย่านช้อปปิ้งอื่นๆของลอนดอน แต่ก็ใช่ว่าจะบางตาเสียจนเงียบเหงา มันแค่พอให้มีพื้นที่ส่วนตัวไม่จำเป็นต้องเร่งรีบหรือเบียดเสียดกับใคร แบบพอหายใจหายคอได้สะดวกกว่าแหล่งช้อปปิ้งอื่นๆ


          เขาจึงพอมีเวลาเดินทอดน่อง สอดส่ายสายตามองหาร้านเสื้อผ้าที่ถูกใจ พลางนึกภาพตามไปด้วยว่าวันนี้คนคนนั้นคงใส่ชุดสูทสีดำอีกตามเคย เพราะงั้นเขาคงต้องหาสูทโทนสีดำ หรือไม่ก็โทนสีเทาจะได้ดูแมตช์กันให้มากที่สุด


          "สีเทาเหลือบเงินก็น่าจะไหวน่า"  ริมฝีปากอิ่มขยับพึมพำกับตัวเองเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นสูทชุดหนึ่งที่ร้านฝั่งตรงข้ามเข้า สองขาจึงตรงดิ่งเข้าไปในร้านอย่างไม่ลังเล


          พนักงานหนุ่มในร้านตรงเข้ามาต้อนรับเขาด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร ก่อนจะถามถึงความต้องการของเจ้าตัวอย่างมืออาชีพ


          "ขอดูชุดตรงนั้นครับ"  เอเลนตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มพลางชี้นิ้วไปยังชุดสูทที่หมายตาเอาไว้ ชายหนุ่มกวาดสายตามองเอเลนตั้งเเต่หัวจรดเท้าอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า 'ใส่เองใช่ไหมครับ?' พอเจ้าตัวพยักหน้ารับแรงๆจึงบอกยิ้มๆ


          "สักครู่นะครับ ผมคิดว่าเรามีชุดที่เหมาะกับคุณกว่าชุดนั้น"  ว่าพลางขยิบตาให้แล้วปลีกตัวหายเข้าไปด้านใน เอเลนจึงได้แต่ทำหน้างง ไม่เข้าใจว่าชุดนั้นไม่เหมาะกับเขายังไง? เพราะถึงแม้ว่าเขาจะไม่ใช่แฟชั่นนิสต้าร์แต่ก็พอรู้ ว่าอะไรเหมาะหรือไม่เหมาะกับตัวเองเหมือนกัน?


          พอถูกปล่อยทิ้งไว้ตามลำพัง เขาจึงเดินเลาะเข้าไปในโซนของชุดลำลองดูบ้าง ถึงแม้ว่าคนคนนั้นจะบอกให้เขาใช้จ่ายได้ตามใจ แต่พอพลิกดูป้ายราคาของเสื้อผ้าแต่ละชิ้นแล้ว เอเลนก็ได้แต่ทำหน้าแหยๆกับตัวเอง ปลายนิ้วยอมละออกมาจากเสื้อที่แขวนอยู่แล้วกวาดสายตามองไปรอบๆแทน


          ในร้านมีลูกค้าคนอื่นอยู่อีกหลายคน และแต่ละคนจะมีพนักงานหนุ่มในชุดสูทเรียบกริบคอยแทคแคร์อยู่ไม่ห่าง แถมพนักงานของที่นี่ยังหน้าตาดีไม่หยอกเสียด้วย ทำเอาเขานึกถึงบรรยากาศในคลับขึ้นมาตะหงิดๆ จนเผลอยิ้มออกมา ไม่ว่างานอะไรในยุคนี้หน้าตาและรูปลักษณ์ภายนอกต้องมาก่อนเสมออย่างนั้นสินะ?


          คิดได้แบบนั้นใบหน้ามนจึงเผลอส่องกระจกตรงตู้โชว์ของร้าน กะจะเอียงซ้ายเอียงขวาสำรวจใบหน้าตัวเองซะหน่อย ทว่าภาพซ้อนของใครบางคนที่ปรากฏอยู่ด้านหลังก็ทำเอาสะดุ้งโหยง 


          "God damn it!!"  เบลออุทานคำผรุสวาทออกมาด้วยความตกใจจนลูกค้าคนอื่นๆในร้านหันมามองด้วยสายตาสงสัย มีบ้างที่มองมาด้วยสายตาที่ราวกับมองตัวประหลาด เจ้าตัวจึงรีบค้อมศีรษะให้ลูกค้าคนอื่นๆแทนคำขอโทษขอโพย


          เอเลนรีบหันกลับมา พบว่าเจ้าของเงาคือพนักงานหนุ่มคนนั้นนั่นเอง อีกฝ่ายยืนถือสูทชุดใหม่อมยิ้มขำๆกับท่าทางเด๋อด๋าของเขา ก่อนจะค้อมศีรษะให้อย่างสำนึกผิด


          "ขออภัยครับ ที่ทำให้ตกใจ"


          "อ้อ...ไม่เป็นไรครับ...ฮะฮะ"  เอเลนรีบโบกไม้โบกมืออย่างไม่ถือสาหาความอีกฝ่าย ในเมื่อมันเป็นเพราะเขาเอาแต่ใจลอยเอง พนักงานหนุ่มค้อมศีรษะให้เขาอีกครั้ง ก่อนจะยื่นชุดสูทในมือมาให้แล้วพาเขาไปยังห้องลองชุด พลางอธิบายเกี่ยวกับชุดในมือให้ฟ้งไปด้วย



          ตอนที่ลองใส่แล้วมองดูตัวเองในกระจก เขายังแอบชมพนักงานหนุ่มคนนั้นในใจเลยว่า เลือกชุดได้เหมาะกับผู้สวมใส่จริงๆ มันเป็นสูทสีเทาเข้มที่ออกแบบอย่างเรียบง่ายแต่กลับทำให้ผู้ที่สวมใส่ดูโดดเด่นด้วยดีไซน์ที่ทันสม้ย พนักงานหนุ่มยังบอกกับเขาอีกว่าสีที่เข้มขึ้นไม่มันวาว จะช่วยขับให้คนผิวขาวอย่างเขาดูเด่นขึ้นเห็นท่าจะจริงอย่างที่ฝ่ายนั้นพูดเอาไว้ เพราะขนาดเขาที่มองดูกระจกยังยอมรับเลยว่าตัวเองดูดี


          เอเลนตัดสินใจเลือกสูทชุดนั้นอย่างไม่ลังเล ก่อนออกจากร้านยังขอคำแนะนำจากพนักงานหนุ่มด้วยว่าควรใส่คู่กับรองเท้าแบบไหนดี? เมื่อหาซื้อทุกอย่างได้ครบแล้ว จึงกลับมาโรงแรมที่พักเพื่อเปลี่ยนชุด และออกจากโรงแรมอีกครั้งตอนห้าโมงเย็น เพราะต้องใช้เวลาเดินทางราวๆสามสิบนาทีโดยรถยนต์กว่าจะถึงโรงแรมที่นัดหมายกันเอาไว้


          ในขณะที่แท็กซี่ขับผ่าน เซนต์เจมส์ปาร์ค สวนสาธารณะที่เก่าแก่ที่สุดของลอนดอน ใบหน้ามนก็อมยิ้มเมื่อนึกถึงคำพูดของคนคนนั้นขึ้นมาได้ เขาไม่รู้ว่าตอนนั้นชายหนุ่มคิดอะไรอยู่กันแน่? ถึงได้ชวนเขาไปปิคนิคตอนสุดสัปดาห์ แต่พอเห็นสีเขียวๆของธรรมชาติก็ต้องยอมรับว่าเป็นความคิดที่ไม่เลวเหมือนกัน ในขณะที่กำลังคิดอะไรเพลินๆอยู่นั้น ก็มีเสียง เสียงหนึ่งดังขึ้นมาขัดจังหวะซะก่อน


          "คุณครับ...คุณครับ...ถึงแล้วครับ"   เอเลนผงะไปเล็กน้อย ก่อนจะรีบเรียกสติของตัวเองกลับมาโดยไว แปลกใจไม่ใช่น้อยที่วันนี้เขาเอาแต่ใจลอยตลอดทั้งวัน พอเห็นเขาได้สติโชว์เฟอร์ก็ยื่นมือมาตรงหน้าแล้วกระดิกปลายนิ้ว  "50ปอนด์ครับ"


          "อ้อ...ครับ!"  ได้ยินแบบนั้นเอเลนก็ล้วงหากระเป๋าสตางค์เป็นการใหญ่ ทว่าล้วงกระเป๋าเสื้อก็แล้ว กระเป๋ากางเกงก็แล้ว กลับไม่พบวัตถุอะไรที่หน้าตาเหมือนกระเป๋าสตางค์เลยสักอย่าง กระทั่งโทรศัพท์มือถือก็ไม่มี!? พอเงยหน้าตาตื่นๆของตัวเองขึ้นสบตากับโชว์เฟอร์รถเหงื่อเม็ดเล็กๆก็เริ่มแตกพลั่กๆออกมาตามกรอบหน้า ในตอนนี้เองที่เขาเพิ่งรู้ตัวว่า 'หายนะกำลังมาเยือน!!'

.
.
.
.
.
.
.
....TBC...

          


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น