23 ต.ค. 2559

Attack on titan Au.Fic [Levi x Eren] Black Lies : 17

Attack on titan Au.Fic [Levi x Eren] Black Lies : 17

:Fanfiction Attack on titan


:Pairing : Levi x Eren x (Alfa)


:Genre : Drama,Action-Sci-Fi


:Rate : PG,NC-18+


คำเตือน :บทความต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชายากท่านใดไม่ต้องการรับรู้กรุณากดปิดขอบคุณค่ะ






          เสียงฝีเท้าของเรย์เงียบหายไปแล้ว แต่ใครบางคนกลับดูเหมือนจะยังเรียกสติตัวเองกลับมายังไม่ได้ในทันที เอเลนทิ้งตัวพิงแผ่นอกของคนด้านหลังเอาไว้พลางถอนหายใจ แผ่นหลังสัมผัสได้ถึงไอเย็นจากผิวกายภายใต้เสื้อเชิ้ตของอัล มันค่อยๆไล่ความเมื่อยล้าของเขาออกไปทีละเล็กทีละน้อยจนไม่อยากขยับตัวไปไหน


          "คนของนายแกล้งฉัน!"  พอนึกถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ เอเลนก็โพล่งออกมาอย่างที่ใจคิด หากแต่คนที่ยืนนิ่งๆเป็นหลักให้เขาพิงกลับหัวเราะขำๆออกมา


          "เรย์ไม่ได้แกล้งนายหรอก แต่ฉันเป็นคนสั่งหมอนั่นเอง"


          "ว่าไงนะ!?"  ได้ฟังแบบนั้นใบหน้ามนก็รู้สึกเหมือนมีลูกไฟเล็กๆกำลังแตกเปรี๊ยๆอยู่ในห้ว เจ้าตัวหยัดกายยืนตรง แล้วหันขวับกลับไปมองหน้าฝ่ายตรงข้ามด้วยสายตาเอาเรื่อง จากที่เมื่อครู่โกรธเรย์อยู่ดีๆ ตอนนี้กลับข้างมาโกรธพี่ชายตัวเองแทบไม่ทัน แต่ฝ่ายตรงข้ามรู้ทันจึงรีบพูดขัดขึ้นมาซะก่อน


          "ฟังก่อนสิ...ที่ฉันสั่งให้เรย์ทำแบบนั้น เพราะคิดว่ามันอาจช่วยกระตุ้นความทรงจำของนายได้ง่ายขึ้น แต่โทษที ทำให้ลำบากสินะ...ฉันลืมไปว่านายคุ้นเคยกับอาวุธหนักมากกว่า"  อัลลูบแก้มเขาเบาๆคล้ายกำลังปลอบใจ แต่คนฟังกลับอึ้งจนพูดอะไรไม่ออกอยู่หลายวินาที เขาบอกกับตัวเองว่าจะพยายามเก็บเกี่ยวความทรงจำที่หายไปจากอัลให้มากที่สุด และมีไม่บ่อยนักที่อัลจะยอมปริปากพูดถึงเรื่องราวในอดีตออกมาแบบนี้


          "ฉันเคยใช้อาวุธพวกนี้มาก่อน?"  เอเลนพยายามทำห้วให้เย็นลง ก่อนถามคำถามออกไป แต่ภาพลักษณ์ของอัลตอนนี้มันยิ่งทำให้รู้สึกหงุดหงิดมากยิ่งกว่าตอนแรกซะอีก


          เขารู้ว่าอัลใส่เชิ้ตสีขาวตั้งแต่ตอนที่ช่วยประคองแขนตัวเองตอนที่กำลังเล็งเป้าบิน แต่ไม่คิดว่าจะถึงขั้นผูกเนคไท แต่งทรงผมจนเรียบแปล้ขนาดนี้ด้วย?  ไม่ใช่ว่ามันดูไม่ได้จนกลายเป็นตัวตลก แต่เขาแค่ไม่คุ้นกับการแต่งตัวแบบนี้ของอีกฝ่าย อ้ลในสายตาของเขาคือผู้ชายที่มักจะแต่งตัวสบายๆ นั่งอยู่บนรถเข็นแทบจะตลอดเวลา ปล่อยผมที่สีเข้มกว่าเขาเล็กน้อยให้ยาวปกปิดใบหน้าเอาไว้กว่าครึ่งเสมอ


         ตอนที่รู้ว่าอัลไม่ได้พิการอย่างที่เขาเข้าใจมาตลอด ถึงจะแอบช็อคแต่ก็ไม่ถึงกับรับไม่ได้จนถึงกับต้องโกรธเคือง แต่ตอนนี้เขารู้สึกโกรธ โกรธขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ


          "ตอบมาสิ!"  ใบหน้ามนขึ้นเสียงอย่างไม่พอใจ พลางใช้มือขยี้เส้นผมของอีกฝ่ายโดยแรงด้วยความหมั่นไส้ จนผมที่แต่งทรงไว้อย่างดีตกลงมาปิดหน้าปิดตาชายหนุ่มเหมือนเดิมถึงยอมหยุด


          อัลฟาไม่ได้นึกโกรธเคืองก้บการกระทำของคนตรงหน้าแต่อย่างใด เขาปล่อยให้เอเลนขยี้ผมตัวเองจนกว่าเจ้าตัวจะพอใจ แม้บางครั้งจะถูกทึ้งโดยแรงจนเจ็บไปบ้าง แต่มุมปากก็ยังประดับรอยยิ้มบางๆเอาไว้ตลอดเวลา


          "ไม่ชินขนาดนั้นเลยหรือ?"  เขาถามยิ้มๆ แต่เอเลนสะบัดหน้าหนีไปทางอื่นด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับก่อนตอบ  "ชุดแบบนี้ก็ไม่ชินเหมือนกัน!"  คนฟังเลิกคิ้วสูงแต่ในวินาทีถัดมาก็ปรากฏรอยยิ้มขำๆบนใบหน้า


          "งั้นก็ถอดทิ้งเลยก็แล้วกัน"  ไม่ว่าเปล่า แต่อัลฟาจัดการรูดเนคไทของตัวเองโยนทิ้งไปในทันที ก่อนจะลงมือปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตด้วยท่าทางเอาจริงเอาจังจนคนแอบเหล่มองตั้งแต่เมื่อครู่ได้แต่ยืนอ้าปากค้าง


         "พอเลย!...ตอนนายถอดเสื้อผ้าก็ไม่ชินเหมือนกันนั่นแหละ!"  ใบหน้ามนรีบขัดขึ้นมาก่อนที่ฝ่ายตรงข้ามจะทันได้ถอดเสื้อเชิ้ตโยนทิ้งไปจริงๆ และด้วยความลนลานกลัวฝ่ายนั้นจะทำอย่างที่พูด มือบางจึงรีบดึงสาบเสื้อของชายหนุ่มเอาไว้เสียแน่น แต่พอเงยหน้าขึ้นมอง แล้วพบว่าฝ่ายตรงข้ามกำลังยิ้มกริ่มถึงเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองถูกหลอกเข้าเต็มเปา จากที่หงุดหงิดเป็นทุนเดิมอยู่แล้วเลยยิ่งถูกกระตุ้นให้เดือดปุดๆขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัว


          "นายมันกวนประสาทชะมัด!"  เอเลนผลักคนน่าโมโหโดยแรง ก่อนจะเดินเบียดไหล่ฝ่ายนั้นออกไป ทว่าก้าวขาได้เพียงไม่กี่ก้าวอีกฝ่ายก็คว้าต้นแขนของเขาเอาไว้ซะก่อน  "ไม่เอาน่า ฉันไม่ได้ตั้งใจจะแกล้งซะหน่อย แต่ถ้าถอดออกนายก็ไม่ชินใช่ไหมล่ะ...คนลำบากใจคือฉันนะ"


          "ยังจะพูดอีกเร๊อะ!?"  ใบหน้ามนจ้องหน้าอีกฝ่ายตาเขียวปั๊ด แต่ก็ยอมให้ฝ่ายนั้นดึงกลับไปยืนที่ตำแหน่งเดิมโดยดี เพราะพอคิดว่าคนอย่างอัลฟา ก็มีมุกหยอกล้อกับคนอื่นเขาเป็นด้วย ความโกรธเคืองที่สุมกันอยู่เมื่อครู่ก็ดูเหมือนจะค่อยๆมลายหายไปทีละเล็กละน้อย


          "ฉันไม่ชินจริงๆนะ"  เอเลนพึมพำออกมา หลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เขาเงยหน้าขึ้นสบตาชายหนุ่มอีกครั้ง  "มันอึดอัดมากเลย ที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับนายสักอย่าง"  รอยยิ้มของอัลฟาเจื่อนลงเล็กน้อยเมื่อได้ยินแบบนั้น


          "ฉันรู้...เพราะฉันเอาแต่หลอกลวงนายมาตลอดนี่นะ ขอโทษนะเอเลน แต่ต่อจากนี้ไปก็ช่วยทำความรู้จักกับตัวตนของฉันหน่อยได้รึเปล่า?"  ดวงตาสีเขียวมรกตสั่นไหวนิดๆเมื่อได้ยินประโยคนี้ ใบหน้ามนหลุบตาลงเพื่อหลบซ่อนความรู้สึกเอาไว้ เขาตั้งใจจะทำแบบนั้นอยู่แล้ว ตั้งแต่ตอนที่ตัดสินใจมาที่นี่กับอีกฝ่าย แต่พอถูกขอร้องแบบนี้กลับสับสนอย่างไม่สามารถหาคำอธิบายได้


          "คำพูดเชยชะมัด ไปจำมาจากไหนเนี่ย?"  เขาแกล้งแหย่อีกฝ่ายเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึก ฝ่ายนั้นเองก็รับมุกของเขาแบบทันควันเช่นกัน


          "จำมาจากละครหลังข่าวน่ะ มันเชยขนาดนั้นเลยหรือ? เรื่องนี้ดังมากเลยนะ เห็นคนติดกันทั่วบ้านทั่วเมืองเชียว?"  คราวนี้เอเลนค้อนขวับให้กับมุกฝืดๆของฝ่ายตรงข้าม ก่อนจะดึงสาบเสื้อทั้งสองข้างเข้าหากัน พร้อมกับช่วยติดกระดุมให้ทั้งที่ริมฝีปากยังบ่นงึมงำไม่เลิก


          "ฮิตตั้งแต่สิบปีที่แล้วละไม่ว่า สมัยนี้เขาไม่ใช้คำพูดเฉิ่มๆแบบนี้กันแล้วจะบอกให้ เดี๋ยวสาวๆก็ไม่ชายตาแลกันพอดี"  พูดจบเอเลนกลับต้องเป็นฝ่ายชะงักไปกับคำพูดที่ไม่ทันคิดของตัวเอง พอเงยหน้าขึ้นมอง ก็พบว่าอัลมองเขาอยู่ก่อนเเล้ว อีกทั้งยังยิ้มแปลกๆที่ทำเอาคนถูกมองถึงกับสะบัดร้อนสะบัดหนาวขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ  "ฉะ...ฉันหมายถึงซักวันเผื่อนายเจอคนที่ชอบขึ้นมากะ...ก็อย่าไปพูดอะไรพรรค์นั้นกับหล่อนล่ะ ถูกยี้ขึ้นมาจะหาว่าฉันไม่เตือน!"  ไม่รู้ทำไมเขาถึงต้องรีบแก้ตัวทั้งที่อัลยังไม่ทันพูดอะไรสักคำ?


          พอเขาพูดออกไปแบบนั้นคนตรงหน้ากลับมีสีหน้าที่เคร่งขรึมขึ้นก่อนตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าทุกครั้ง  "โอเค ฉันจะจำไว้...ว่าแต่นายไม่ยี้ใช่ไหม?"  คนถูกถามอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะหน้าแดงวาบลามไปจนถึงใบหูเมื่อคิดตามคำพูดของอีกฝ่าย ด้วยคิดไม่ถึงว่าอัลฟาจะสวนกลับมาแบบนี้ ในขณะที่ใบหน้ามนกำลังอ้าปากพะงาบๆเพราะคิดหาคำพูดตอบกลับไม่ถูก เงาสีดำของอะไรบางอย่างก็ไหววูบใกล้เข้ามาตรงหน้า จนเอเลนต้องรีบปิดเปลือกตาด้วยความตกใจ ก่อนริมฝีปากจะสัมผัสถึงอะไรบางอย่างที่ทั้งนุ่มและเย็น ในตอนนั้นเองที่ริมฝีปากของเขาถูกช่วงชิงไป


          เอเลนไม่รู้ตัวเลยว่าอัลฟารวบร่างกายของเขาเข้าไปกอดเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ กว่าจะรู้ว่าตัวเองถูกขโมยจูบก็ต่อเมื่อฟันคมๆของฝ่ายตรงข้ามขบเบาๆที่ริมฝีปากล่างคล้ายกับช่วยเรียกสติที่เตลิดไปถึงไหนต่อไหนให้กลับมาเข้าร่างดังเดิม ทว่าวินาทีถัดมาสติสัมปชัญญะที่เพิ่งจะรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนก็ต้องกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศละทาง เมื่อริมฝีปากถูกดูดเม้มเบาอยู่หลายครั้ง ก่อนจะตามมาด้วยปลายลิ้นอุ่นๆ เล่นเอาใจเต้นโครมครามเหมือนจะระเบิดเสียให้ได้ ถึงแม้ว่าผิวกายภายนอกของอัลจะเย็นเหมือนน้ำแข็ง ทว่าทั้งลมหายใจและสัมผัสจากปลายลิ้นยังอุ่นร้อนอย่างคนปรกติทั่วไป คล้ายเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการมีชีวิตอยู่ของเจ้าตัว


          "อื้อ..."   คราวนี้อีกฝ่ายมอบจูบที่ดูดดื่มลึกซึ้งยิ่งกว่า จนคนที่ถูกจู่โจมอย่างกระทันหันแข้งขาอ่อนแรงแทบจะทรงตัวไม่อยู่ จึงได้แต่ปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามยกตัวเองขึ้นไปนั่งบนโต๊ะที่ด้านหลัง ทั้งที่เมื่อครู่มีปลอกกระสุนหล่นเกลื่อนอยู่บนนั้น แต่เขากลับไม่สัมผัสถึงวัตถุอะไรสักอย่าง มีเพียงเสียงกังวานของวัตถุบางอย่างร่วงหล่นกระทบพื้นแว่วมาจากที่ไกลๆคล้ายกับเสียงกระดิ่งลม จนรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกเสียงนั้นสะกดเอาไว้


          ใบหน้ามนถูกมือหนาประคองให้เงยขึ้นรับจูบที่เริ่มจะทวีความเร่าร้อนขึ้นเรื่อยๆ จนรู้สึกเหมือนชายหนุ่มกำลังแย่งชิงเอาพลังชีวิตเฮือกสุดท้ายไปจากเขา ร่างกายถูกรุมเร้าด้วยความสับสนระคนหวามไหวให้เจ้าตัวได้ส่งเสียงครางปนหอบอยู่ในลำคอ ในขณะที่คิดว่าตัวเองกำลังจะขาดอากาศหายใจตายไปทั้งอย่างนี้ อีกฝ่ายก็ยอมละริมฝีปากออกไปราวกับคำนวณเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว


          "แบบนี้ก็ไม่รังเกียจใช่หรือเปล่า?"  อัลฟาถามด้วยน้ำเสียงที่แหบลงเล็กน้อย ใบหน้ามนจึงส่ายหน้าไปมาทั้งที่ยังมึนๆเบลอๆแถมยังหอบแฮ่กๆไม่ต่างจากลูกหมาหอบแดด ทั้งที่สายตาเอาแต่จับจ้องริมฝีปากฉ่ำชื้นของฝ่ายตรงข้ามที่อยู่ห่างออกไปเพียงแค่ลมหายใจกั้นตาไม่กะพริบ จู่ๆในหัวก็นึกถึงคืนนั้นในวันที่มีมรสุมเข้า จำได้ว่าในตอนนั้นเขาก็เอาแต่จ้องริมฝีปากที่เผยรอยยิ้มของคนคนนั้นแบบนี้เหมือนกัน


          สองคนนี้...เหมือนกันไปเสียทุกอย่างจริงๆนั่นแหละ ถึงจะรู้ว่ามันเป็นเพียงความเห็นแก่ตัวของเขา ที่เอาแต่มองหาตัวตนของใครอีกคนผ่านตัวตนของคนอีกคนตลอดเวลาก็ตามที


          "เอเลน...เป็นอะไรไป?"  คงเพราะเห็นเขาเอาแต่เหม่อมองตัวเองอยู่แบบนั้น อัลฟาจึงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย คนถูกถามกลับสะดุ้งโหยงราวกับเพิ่งได้สติ ก่อนจะทำหน้ากระอักกระอ่วนใจจนอีกฝ่ายหลุดหัวเราะออกมา  "ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นก็ได้ จะไม่ขอมากไปกว่านี้แล้ว ถ้านายยังไม่พร้อม"


          "หมายถึงอะไรน่ะ?"   เอเลนเอียงคอทำหน้างง ไม่เข้าใจว่าฝ่ายนั้นกำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่กันแน่? อัลฟาจึงยิ้ม แล้วโน้มใบหน้าลงมากระซิบที่ข้างหู  "ฉันหมายถึงเซ็กซ์น่ะสิ"  คราวนี้ใบหน้ามนแดงวาบขึ้นมาจนแทบระเบิดก่อนจะรีบผลักชายหนุ่มออกไปเต็มแรง แล้วรีบกระโดดลงจากโต๊ะก้าวฉับๆออกจากสนามฝึกด้วยความโกรธที่พุ่งสูง รู้สึกเหมือนบนหัวมีกาน้ำที่กำลังเดือดปุดๆตั้งอยู่ก็ไม่ปาน ทว่าก้าวขาไปยังไม่ถึงสิบก้าว ใบหน้ามนก็หันกลับมาแยกเขี้ยวใส่คนที่ยืนยิ้มอยู่ด้านหลังอย่างเหลืออด


          "พวกนายมันจอมฉวยโอกาส! ขี้โกง! ลามก! หน้าด้านที่สุด!!"  คำพูดของเขาถูกต้องทุกประการ ถึงแม้ว่าจะเป็นเพราะบรรยากาศพาไปส่วนหนึ่ง และเป็นเพราะความยินยอมพร้อมใจของเขาเองอีกส่วนหนึ่ง แต่เจ้าคนโรคจิตสองคนนี้เข้าใกล้ไม่ได้เลยจริงๆ!



          "พวกนายหรือ?..."  อัลฟาพึมพำออกมาเบาๆ หลังจากที่มองตามแผ่นหลังของคนที่โกรธจนแทบเห็นดวงไฟลุกออกมาจากดวงตานั่นจนหายลับไป แล้วรอยยิ้มอย่างอารมณ์ดีเมื่อครู่ก็หายวับไปจากใบหน้าของชายหนุ่มราวกับมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน






          หลังจากแวะดื่มที่บาร์ไปสองสามแก้ว รีไวล์ก็เดินเตร่กลับมาถึงที่พักในตอนพลบค่ำพอดี ทั้งที่ขาไปใบหน้าของเขาเกลี้ยงเกลาไร้รอยแผล หากแต่ขากลับตรงโหนกแก้มกับมุมปากข้างซ้ายกลับมารอยช้ำเหมือนโดนชกปรากฏอยู่ สองขาก้าวเข้าไปในบ้านไม้ชั้นเดียวที่สร้างติดกันหลายหลัง สภาพค่อนข้างเก่าจนเรียกได้ว่าทรุดโทรม ทว่าสภาพด้านในกลับดูสะอาดสะอ้าน พื้นที่ใช้สอยถูกแบ่งเป็นสัดส่วนอย่างขัดกับสภาพภายนอกโดยสิ้นเชิง


          เสียงพูดคุยของเพื่อนร่วมชายคาแว่วมาจากระเบียงที่หันหน้ารับลมทะเล ทำให้ขาที่กำลังจะเดินเข้าห้องตัวเองหยุดอยู่กับที่ ก่อนจะเปลี่ยนเส้นทางเลี้ยวไปทางระเบียงบ้าง


          พอเดินไปถึงก็พบว่าฟาลันกำลังนอนจิบเบียร์อยู่บนเก้าอี้สนามที่ปรับระดับให้อยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนพลางพูดเรื่องขำขันอะไรบางอย่างให้อิสเบลที่นั่งแกว่งเท้าอยู่ข้างกันฟัง เด็กนั่นทั้งที่กำลังหัวเราะจนตัวงอเป็นกุ้ง แต่มือกลับฉีกปลาหมึกตากแห้งย่างที่วางอยู่บนกระดาษหนังสือพิมพ์เข้าปากไม่หยุดเช่นกัน


          แม้จะเป็นภาพที่ขัดตา แต่สำหรับยัยเด็กหัวแดงนั่นแล้ว ต่อให้นอนห้อยหัวลงมาก็ยังสามารถกินได้จนแม้แต่เขาเองยังนับถือ


          "พี่ใหญ่กลับมาแล้ว!"  พอรับรู้ได้ถึงการมาของเขา ปลาหมึกย่างเส้นยาวก็ถูกจับยัดเข้าปากในคำเดียวก่อนจะแหกปากร้องด้วยความตื่นเต้นทั้งที่เห็นหน้ากันอยู่ทุกวัน รีไวล์ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา แล้วสาวเท้าเดินเข้าไปหาคนทั้งคู่


          "เอ๊ะ!...หน้าพี่ใหญ่!"  พอเห็นรอยแผลบนหน้าเขา อิสเบลก็ทำท่าตกใจเสียยกใหญ่ โชคดีที่ฟาลันขัดขึ้นซะก่อนที่เจ้าตัวจะโวยวายไปมากว่านี้  


          "ไปชกมวยมาอีกแล้วล่ะสิ"  ฟาลันเอ่ยขึ้นพลางยื่นเบียร์กระป๋องหนึ่งมาให้ รีไวล์ครางร้บว่า 'อืม' แล้วรับเบียร์มาถือไว้


          "อะไรกัน จะหลบก็หลบได้แท้ๆ ทำไมพี่ใหญ่ถึงชอบหาเรื่องเจ็บตัวอยู่เรื่อยเลย?"  อิสเบลบ่นกระปอดกระแปดออกมาตามประสาทั้งที่มือยังดึงปลาหมึกย่างเข้าปากอย่างต่อเนื่อง


          "ถ้าขืนเอาแต่ต่อยคู่ต่อสู้อยู่ฝ่ายเดียวจะโดนสงสัยเอาน่ะสิ โดนทหารเพ่งเล็งขึ้นมาลำบากแย่"  คำพูดประโยคนั้นเป็นของฟาลัน ส่วนรีไวล์เดินไปยืนหันหลังพิงราวระเบียงแล้วล้วงเอาซองสีน้ำตาลในกระเป๋ากางเกงโยนให้ชายหนุ่มอีกคน ซึ่งอีกฝ่ายก็ร้บเอาไว้ได้พอดิบพอดี


          "ไม่ลำบากแล้วล่ะ...พวกนายไปได้แล้ว"   รีไวล์บอกเสียงเรียบ ทว่าคนฟังกลับเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อหูตัวเองด้วยกันทั้งคู่ หากแต่ไม่มีใครมีคำถามอย่างอื่นตามมา เพราะคนทั้งสองต่างรู้ดีว่าถ้ารีไวล์ได้ตัดสินใจลงไปแล้ว ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ขัดขวางไม่ได้ทั้งนั้น


          "แล้วพี่ใหญ่ล่ะ จะตามเรากลับไปเมื่อไหร่?"  อิสเบลถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เหงาหงอยลงไปถนัดตา ผิดจากเมื่อครู่ที่หัวเราะซะจนท้องขดท้องแข็ง


          "อีกไม่นานหรอก จัดการธุระทางนี้เสร็จเมื่อไหร่จะรีบตามไปทันทีเลย"  เขาเปิดกระป๋องเบียร์ในมือ ยกขึ้นดื่มไปสองสามอึก ก่อนจะหันหน้าออกไปรับลมทะเล สายตามองฝ่าไปมืดอย่างไร้จุดหมาย ทว่าประสาทสัมผัสกลับรับรู้ได้ถึงเสียงลมและเสียงคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่งได้อย่างชัดเจน


          "ธุระที่ว่า คงไม่ใช่ไปตามหาเอเลนหรอกใช่มั้ย? เด็กนั่นทำให้พี่ใหญ่เกือบตายแล้วทำไม...."   ชื่อที่ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินทำเอานัยน์ตาคู่คมถึงกับเบิกกว้างในความมืด มือเผลอกำกระป๋องเบียร์แน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว โชคดีที่เขาเป็นคนประเภทที่แสดงความรู้สึกออกมาทางสีหน้าไม่เป็นแถมยังควบคุมอารมณ์ตัวเองได้อย่างยอดเยี่ยมจึงไม่มีพิรุธอย่างอื่นให้จับผิดได้



          "อิสเบล!"  แต่ก่อนที่เด็กสาวจะพูดอะไรมากไปกว่านั้น ฟาลันก็ลุกขึ้นมาห้ามเอาไว้ซะก่อน  อิสเบลจึงได้แต่เม้มปากแน่นยอมเก็บปากเก็บคำของตัวเอง  "ไปเก็บของแล้วนอนซะ พรุ่งนี้ต้องออกเดินทางแต่เช้า"  ฟาลันลูบหัวเด็กสาวเป็นเชิงปลอบ ก่อนจะดันหลังอีกฝ่ายให้กลับเข้าไปด้านใน อิสเบลจึงได้แต่ยักไหล่เซ็งๆแล้วทำตามคำสั่งอย่างเสียมิได้ มือที่กำลังเกร็งเขม็งของชายหนุ่มเองก็ค่อยๆผ่อนคลายขึ้นเช่นกัน



          "จะไปตามหาเด็กนั่นจริงหรือ?"  พอเหลือกันอยู่เพียงลำพังฟาลันจึงเอ่ยถามขึ้นมาบ้าง ชายหนุ่มก้าวเข้าไปยืนข้างเพื่อนสนิทพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่  "อย่าพูดออกมาเชียวว่า 'เด็กนั่นไม่ได้เลือกฉันแล้วมีความจำเป็นอะไรที่ฉันต้องไปตามหาด้วย' เพราะนายรู้อยู่แก่ใจว่าทำไมเอเลนต้องทำแบบนั้น"


          รีไวล์หัวเราะออกมาเสียงหนึ่ง เมื่อถูกเดาความคิดออกจนหมดทุกเม็ดอย่างกับฝ่ายนั้นมานั่งอยู่กลางใจ เมื่อก่อนเขาเคยคิดแบบนั้นจริงๆนั่นแหละ แต่มันก็เป็นไปตามประสาคนพาลที่เพิ่งจะรู้จักหัวใจตัวเองเท่านั้น พอได้มีเวลาหยุดคิดทบทวนกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบถึงได้เข้าใจความหมายของมัน และกลายเป็นความตกใจที่รู้ว่าตัวเองยังมีความรู้สึกแบบนี้หลงเหลืออยู่มากกว่า เขายกเบียร์ในมือขึ้นดื่มอีกอึกใหญ่จนหมด ก่อนจะขยำกระป๋องที่ว่างเปล่าจนบิดเบี้ยวไม่เหลือสภาพเดิม  "เพ้อเจ้ออะไรของพวกนายกัน ที่ฉันยังอยู่ที่นี่ไม่เกี่ยวกับเอเลน แต่เป็นมาดามxต่างหาก"  ฟาลันเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อได้ยินแบบนั้น เขาหันขวับกล้บไปมองรีไวล์ด้วยสายตาคลางแคลงใจระคนงงงวย


          "ทำไมต้องไปยุ่งกับหล่อนอีก? ผู้หญิงคนนั้นมีแต่จะพาเรื่องยุ่งยากมาให้นายเปล่าๆ"   มาดามx หรือที่คนในโลกมืดเรียกขานกันว่า 'แม่มด' เป็นนักค้าข่าวที่มีชื่อเสียงสุดในยุคนี้เลยก็ว่าได้ หล่อนไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดเป็นพิเศษ ร้บลูกค้าทุกประเภท ตั้งแต่จิ๊กโก๋ข้างถนนไปจนถึงระดับผู้นำประเทศ ขอแค่มีเงินจ่ายเป็นพอ และไม่ว่าลูกค้าจะต้องการหาข่าวแบบไหนเธอก็สามารถหาให้ได้ รวมไปจนถึงการคาดการณ์เอาไว้ล่วงหน้าอย่างแม่นยำราวกับมองเห็นอนาคต นั่นเป็นเหตุผลที่ผู้คนเรียกหล่อนว่า 'แม่มด' รีไวล์เองก็เคยถูกตามล่าเพราะการขายข่าวของผู้หญิงคนนั้น แถมยังเคยเผชิญหน้ากันหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็รอดจากเงื้อมมือของคนอย่างรีไวล์ไปได้ทุกครั้งเช่นกัน


          "ฉันก็ไม่ได้อยากยุ่ง...แต่หมอนั่นขอร้องมา"  รีไวล์โยนกระป๋องเบียร์เยินๆในมือทิ้งก่อนตอบ ทว่ามุมปากกลับยกมุมสูงขึ้นเล็กน้อย เมื่อพูดถึงคู่ปรับเก่า


          "อา~...ให้ตายสิ จะปฏิเสธก็ได้นี่นา หมอนั่นมีมือดีตั้งเยอะแยะ แบบนี้เหมือนแกล้งกันชัดๆ"


          "เพราะมีเกลือเป็นหนอนอยู่ในมือด้วยน่ะสิ ถึงได้ขอความช่วยเหลือจากคนนอกอย่างฉัน แต่ไม่เป็นไรหรอก แค่สืบหาเหตุผลที่หล่อนมาญี่ปุ่น...คงใช้เวลาไม่นาน"   ท้ายประโยคน้ำเสียงของรีไวล์แผ่วลงเล็กน้อย ฟาลันเหล่มองอีกฝ่ายก่อนถอนหายใจออกมาอีก


          "นาย...แน่ใจแล้วหรือ?"


          "เรื่องอะไร?"


          "เรื่องเอเลน"   รีไวล์นิ่งอยู่นาน จนฟาลันคิดว่าคงไม่ได้รับคำตอบใดๆแล้ว ทว่าจู่ๆอีกฝ่ายก็เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาคล้ายกำล้งคุยกับตัวเอง  "อย่าพูดถึงเด็กนั่นอีกเลย ปล่อยให้มันจบไปแบบนี้แหละดีแล้ว"  ไม่ต้องดิ้นรน ไม่ต้องขวนขวายที่จะได้มา แค่นี้ก็จะไม่ต้องสัมผัสกับความรู้สึกเหล่านั้นอีก นี่ต่างหากคือทางออกที่ดีที่สุด

.
.
.
.
.
....TBC........


ระ....รอนานจนลืมกันรึย้งคะ???...(ทำหน้าแบบคนสำนึกผิด)

ไม่อยากหาข้อแก้ตัวเลยค่ะ5555+  แต่ช่วงนี้ของปีมันงานเยอะจริมๆ (เยอะจนอยากจะร้องไห้แล้วเนี่ย)

ปล.ไรท์เพิ่งเริ่มทำงานเต็มตัวเมื่อไม่กี่เดือนนี่เองค่ะ555+ ที่ออฟฟิตนี่ทำงานไปด้วยเล่นเกมส์ไปด้วยได้เพราะมีพาเทชั่นกั้นเป็นบล็อคใครบล็อคมัน แต่แต่งฟิคได้แค่ช่วงพักเบรคเอ๊งง!! ไม่งั้นงานมันไม่เสร็จจจ!!!


ปล.แฟนคลับเพิ่มขึ้นเยอะมากๆๆ รู้สึกทั้งปลึ้มทั้งรู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูก


อยากเข้าไปอัพสเตตัสในเพจแต่กลัวไม่ถูกที่ถูกเวลาเลยปล่อยเงียบไว้อย่างนั้นเหมือนตายจาก แต่ไรท์ยังมีชีวิตอยู่นะคะ😂😂😂😂😂


ขอบคุณสำหรับทุกการติดตามมากๆๆค่ะ _//|\\_


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น