4 มิ.ย. 2559

Attack on titan Au.Fic [Levi x Eren] Pride : 01

Attack on titan Au.Fic [Levi x Eren] Pride : 01

: Fanfiction Attack on titan

:Pairing : Levi x Eren

:Romance

:Rate : PG-13



*************************








        เสียงกริ่งหน้าบ้านดังเป็นไฟแล่บแต่เช้าทำให้คนที่เพิ่งจะง่วนอยู่กับการเตรียมมื้อเช้าง่ายๆของตัวเองจำต้องยอมวางมือจากมันในที่สุด นัยน์ตาสีขี้เถ้ามองผ่านช่องเล็กๆที่บานประตูแล้วก็ให้หยักยิ้มกับรอยแดงๆช้ำนิดๆที่หน้าผากมนนั่น...เจ้าเด็กหน้ามุ่ยข้างบ้านเองหรอกเหรอ?...

          "ทำไมช้าจังมันหนาวนะ"

          แล้วทันทีที่เปิดประตูให้ เจ้าเด็กข้างบ้านก็เดินปึงปังลงส้นหนักๆเข้ามาโดยไม่รอให้เขาเชื้อเชิญเลยด้วยซ้ำ นี่ถ้าเป็นลูกเป็นหลานของเขาล่ะก็จะจับหักขาทั้งสองข้างเลย!...แต่เหตุผลที่เจ้าตัวแสดงอาการเหวี่ยงๆแบบนั้นก็ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ คงเพราะยังโกรธเรื่องเมื่อวานอยู่นั่นเอง...งั้นวันนี้จะปล่อยไปก่อนก็แล้วกัน

          ริมฝีปากคมหยักยิ้มหน่ายๆก่อนจะเดินตามร่างบางเข้าไป  ดูเหมือนเจ้าเด็กข้างบ้านจะคุ้นเคยกับบ้านหลังนี้ไม่น้อยถึงได้เดินตรงเข้าไปในครัวของเขาแบบไม่ต้องถามทาง เดาว่าคงจะมาที่นี่บ่อยๆก่อนที่เขาจะย้ายมา
          ร่างบางวางถ้วยสตูว์ลงบนโต๊ะกับข้าว ก่อนจะย้ายไปนั่งหน้ามุ่ยอยู่ที่เก้าอี้อีกฝั่งพร้อมกับหันมาแยกเขี้ยวใส่เขาว่า

          "ผมจะกินด้วย...แม่บอกให้มาช่วยคุณเก็บของจนกว่าจะเสร็จ"  เหตุผลของเจ้าตัวทำเอาเขาอึ้งไปเล็กน้อย แต่วิธีมาขอข้าวบ้านคนอื่นกินของเด็กนี่มันออกจะแปลกประหลาดเกินไปหน่อยมั้ยนะ?  


          "หึ..."  ชายหนุ่มหัวเราะออกมาเสียงหนึ่งอย่างห้ามไม่อยู่  "ก็ได้อยู่หรอก"  ที่จริงอยากจะถามออกไปว่า 'ถ้าไม่ทำโดนหักค่าขนมหรือ?' แต่ก็กลัวจะไปสะกิดต่อมหน้ามุ่ยเข้าเสียก่อน  เดี๋ยวได้คุยกันไม่รู้เรื่องพอดี...เพราะเขาตั้งใจว่าถ้ามีโอกาสก็อยากจะพูดคุยกับเด็กนี่อย่างจริงจังสักครั้ง...ว่าเมื่อคืนเขาไม่ได้ตั้งใจ

          "ไม่ขำนะ!...โดนหักจนแทบจะไม่เหลือแล้วด้วย..."

          "......!?"   ตกใจใช่เล่นที่จู่ๆเจ้าตัวก็โพล่งออกมาแบบนั้น รู้กระทั่งความคิดของเขาเจ้าเด็กตรงหน้านี่ไม่ธรรมดาแล้ว? หรือเพราะโดนบังคับให้รับจ๊อบช่วยคนเพิ่งย้ายบ้านบ่อย?

          "ไม่บ่อยซะหน่อย...ส่วนใหญ่ก็บังคับให้ทำความสะอาดห้องตัวเอง"  ริมฝีปากอิ่มบ่นงึมงำเป็นหมีกินผึ้ง ทั้งที่สายตาจ้องมื้อเช้าในกระทะเขาเขม็ง?

          "หื๋มม์...รู้ได้ไงว่าชั้นคิดอะไรอยู่?"   คงต้องถามแล้วล่ะเพราะดูเหมือนว่าเจ้าเด็กเหลือขอนี่จะรู้ว่าเขาคิดอะไรทุกเรื่องเลย...

          "มีพลังจิตหรืออะไรเทือกนั้นรึไง?"

          "เปล่าซะหน่อย...ผมโดนถามบ่อยน่ะ...จากเพื่อนๆ"  เจ้าตอบเสียงอ่อยฟังดูแล้วน่าสงสารแปลกๆ? ในหัวกำลังนึกภาพตอนที่เด็กนี่อยากซื้อขนมชิ้นโปรดแต่เงินในกระเป๋าไม่พอ แล้วใบหน้ามนก็สลดลงทันตาแล้วริมฝีปากก็ยกมุมขึ้นสูงโดยไม่รู้ตัว...คงไม่น่าสงสารเท่าไหร่หรอก ออกจะปากเก่งขนาดนี้ ยกตัวอย่างง่ายที่สุดก็เช่นในตอนนี้

          ทั้งที่เขาเป็นคนแปลกหน้าแท้ๆ ชื่อก็คงจะยังไม่ทันจำด้วยซ้ำแต่ยังพูดจาได้คล่องปรื๊อไม่สะดุดแม้แต่วินาที

         "โดนหักค่าขนมบ่อยขนาดนั้นเลย?"  เขาถามพลางตักไข่ดาวของตัวเองใส่จาน แล้วตั้งกระทะบนเตาอีกครั้ง

          "ทุกอาทิตย์อ๊ะ...ผมเอาไข่ดาวสุกๆนะไม่สุกแล้วมันแหยงๆผมไม่ชอบ"  เห็นไหม? เขายังไม่เอ่ยปากถามก็บอกความชอบของตัวเองให้เสร็จสรรพ...

          มื้อเช้าที่ดูเหมือนจะมีชีวิตชีวากว่ามื้อไหนๆของเขาดูจะยาวนานกว่าทุกๆวันที่ผ่านมา นัยน์ตาสีขี้เถ้าเหลือบมองแผ่นหลังบางที่ยืนล้างจานด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไป และดูเหมือนเจ้าเด็กเหลือขอเองก็คงลืมไปแล้วว่ากำลังโกรธเขาอยู่ใบหน้ามนถึงได้ดูผ่อนคลายไม่บึ้งตึงใส่เขาเหมือนตอนแรก


          พอได้มีเวลามองเด็กนี่ดีๆแล้วถึงได้รู้ว่าเป็นเด็กผู้ชายที่ไม่สมเป็นชายเอาซะเลยถ้าบอกว่าเป็นเด็กผู้หญิงยังจะหน้าเชื่อมากกว่าอีก....ใบหน้าเรียวได้รูปรับกับเครื่องหน้าไม่ว่าจะเป็นหูตาจมูกปากมันช่างดูลงตัวจนจัดได้ว่าสวยมากกว่าจะดูหล่อเหลา กับร่างกายที่ถึงจะสูงแต่กลับบางกว่าเขาไปกว่าครึ่งนั่นมันดูน่ากอดอย่างไม่น่าเชื่อ

          เขาเพิ่งจะเคยเห็นนี่แหละว่ามีเด็กผู้ชายแบบนี้ด้วย?  คงเพราะรอบกายเขามีแต่พวกทึกๆอยู่รอบตัวล่ะมั้งพอเห็นเด็กนี่แล้วถึงได้รู้สึกสบายตาอย่างบอกไม่ถูก

          "นี่!...ของในกล่องนี้เอาไว้ไหนเหรอ?"  น้ำเสียงใสสดที่ถึงแม้จะไม่มีหางเสียงแต่มันฟังดูอ่อนลงมากทำให้เขาหลุดออกจากภวังค์ ก่อนจะหันไปมองเจ้าของร่างบางที่ยืนตบกล่องข้าวของที่ยังไม่ได้แกะของเขาแปะๆแล้วก็ให้ยิ้มออกมา ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายล้างจานเสร็จแล้วไปยืนอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่?

          "ไม่เป็นไรเดี๋ยวชั้นเก็บเอง...นายพาชั้นไปสำรวจรอบเมืองได้รึเปล่า?"  พอรีไวล์ยื่นข้อเสนอไปให้ เจ้าตัวก็ทำตาเป็นประกายขึ้นมาทันที

          "ก็ได้อยู่หรอก แต่ผมกลับไปเอาโค้ทที่บ้านไม่ได้นี่สิ...แม่บอกว่าไม่ให้เข้าบ้านจนกว่าจะช่วยคุณเก็บของเสร็จ"  พออีกฝ่ายพูดจบเขาก็เพิ่งนึกได้ว่าเจ้าเด็กตรงหน้าสวมแค่เสื้อยืดแขนยาวเพียงตัวเดียว มิน่าตอนเปิดประตูให้ถึงตวาดแหวใส่เขา?

          "ใช้ของชั้นก็ได้"  เขาบอกยิ้มๆ


          ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ เอเลนจึงตอบตกลงอย่างไม่ลังเลและไม่นานโค้ทสีดำผ้าพันคอกับถุงมือสีเทาก็ย้ายมีอยู่บนตัวของเขา ก่อนออกจากบ้านยังมีการแอบเหล่ไปที่บ้านตัวเองซะก่อน เมื่อเส้นทางสะดวกก็ถอนหายใจเสียเฮือกใหญ่


          "คุณทำงานอะไรเหรอ?...ผมเห็นกระเป๋าของคุณเหมือนพวกสถาปนิกเลย"

          เอเลนถามขึ้นหลังจากที่เดินออกมาได้สักพัก เจ้าตัวลอบมองฝ่ายตรงข้ามเป็นระยะคล้ายกับกำลังสำรวจตรวจตรา พอได้เดินข้างๆกันถึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายเตี้ยกว่าเขาเล็กน้อย แต่มีความเป็นผู้ชายมากกว่าเขา เท่กว่า หล่อกว่า แถมยังดูเป็นคนจิตใจดีเอามากๆถึงแม้ว่าแทบจะไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าก็ตามที

          "อืม...แล้วนายล่ะ?"

          "ก็ต้องนักเรียนอยู่แล้วสิ!"

          "หึหึ..."  เขาหัวเราะให้กับปฏิกิริยาตอบสนองที่รวดเร็วปานสายฟ้านั่น

          "คุณนี่กวนประสาทจังเลยนะ"  อุตส่าห์ชมในใจไปตั้งเยอะโดนหัวเราะเข้าแบบนี้ เอเลนจึงหักคะแนนความชื่นชมในตัวของฝ่ายนั้นไปอีกหลายส่วน แม้ปลายนิ้วจะชี้โน่น นั่น นี่ พลางแนะนำให้อีกฝ่ายฟังไม่หยุดแต่หัวสมองด้านลบก็ทำงานไปด้วยในเวลาเดียวกัน

          นัยน์ตาสีขี้เถ้าเหลือบมองคนที่กำลังแนะนำสถานที่หลักๆในเมืองให้เป็นระยะๆ เขาไม่ได้สนใจมันสักเท่าไหร่เพราะก่อนย้ายมาก็ศึกษามาเองจนแทบจะหลับตาเดินได้แล้ว

          แต่เจ้าคนที่กำลังเจื้อยแจ้วเป็นนกแก้วนกขุนทองนี่สิน่าสนใจกว่าเยอะ เขาไม่ใช่คนที่จะสุงสิงกับใครออกจะรักสันโดษเสียด้วยซ้ำแต่พอได้คุยกับ...เอเลนสินะ...ทำให้เขารู้ว่าการคุยอะไรไร้สาระแบบนี้มันก็ไม่ได้เลวร้ายนัก ต่อล้อต่อเถียงกับเด็กมันก็สนุกไปอีกแบบ

          "ทำไมคุณถึงเลือกมาทำงานที่นี่ล่ะมีปัญหาครอบครัวเหรอ?"

          "เปล่า"

          "งั้นก็อกหัก?"  หางคิ้วกระตุกนิดๆเมื่อได้ยินคำถามนี้

          "อะไรทำให้นายคิดแบบนั้น?"

          "ก็แหมดูจากหน้าที่การงานของคุณแล้วน่าจะอยู่เมืองใหญ่ๆอย่างสตุ๊ทการ์ทไม่ก็ฮัมบวร์กมากกว่า แต่ย้ายมาอยู่เมืองเล็กๆแบบนี้ก็ต้องหลบมาเลียแผลใจแหงอยู่แล้วสิ"   ใบหน้าหล่อเหลาได้แต่อึ้งกับความคิดเป็นตุเป็นตะของเจ้าเด็กนี่ ที่ไม่รู้ว่าไปเอาความคิดพวกนี้มาจากไหน หน้าเขาดูเหมือนคนอกหักหรือมีปัญหาครอบครัวนักรึไง?  แอบปวดขมับกับตรรกะประหลาดๆของเจ้าเด็กนี่ขึ้นมาซะแล้วสิ


          "นายนี่กวนประสาทดีนะ"

          "อย่าเอาคำพูดคนอื่นไปใช้แบบนั้นเซ่....คุณนั่นแหละที่กวน"

          อีกครั้งที่ร่างโปร่งบางหันมาแยกเขี้ยวใส่เขา ทั้งๆที่ตัวเองเป็นคนต้นเรื่องถามเขาแบบนั้นสงสัยอะไรแปลกนั่นก็ด้วย ความคิดเพี้ยนๆของตัวเองแท้ๆแต่กลับมาทำหน้างอใส่เขาแบบนี้อีกมันน่าหยิกแก้มใสๆนั่นนักเชียว

          "ชั้นทำงานอยู่ที่เบอร์ลินน่ะ แล้วก็ไม่ได้อกหักหรือมีปัญหาครอบครัวอะไรแบบที่นายคิดด้วย แค่อยากจะหาที่สงบๆเอาไว้คิดไอเดียใหม่ๆเท่านั้น"   เขาได้แต่อธิบายออกไปอย่างปลงๆ 


          "เอ๋~~...เบอร์ลินเหรอ?....ไม่เดินทางลำบากเหรอไกลอยู่นา แล้วก็ที่นี่ไม่ได้สงบหรอกนะจะบอกให้"

          "ส่วนใหญ่ชั้นทำงานที่บ้าน นานๆทีถึงจะเข้าบริษัทไม่จำเป็นต้องตื่นไปทำงานทุกวัน"

          "งั้นเหรอ...น่าอิจฉาเน้อะ"

          "เรื่องอะไร?"

          "ก็ผมต้องตื่นแต่เช้าไปโรงเรียนที่วันเลยนี่ แต่คุณอยากตื่นตอนไหนก็ได้แถมยังได้ทำงานที่บ้านอีก"   สีหน้าของคนพูดแสดงออกมาว่ารู้สึกอย่างที่พูดจริงๆ

          "หึ...งั้นก็รีบโตซะสิถ้าอยากเป็นอิสระเร็วน่ะ"    มือหนาขยี้หัวสีน้ำตาลเบาๆอย่างเอ็นดูโดยที่ไม่รู้เลยว่าคำๆนั้นกำลังจะทำให้ชีวิตของพวกเขาทั้งคู่เปลี่ยนไป

          หนึ่งวันที่เสียไปโดยการออกมาเดินเล่นในตัวเมืองมันทำให้เขารู้ว่า เมืองนี้มันไม่ได้สงบสุขอย่างที่เอเลนว่าจริงๆ แต่อย่างน้อยมันคงไม่วุ่นวายเท่าเมืองหลวงอย่างเบอร์ลินแน่นอน แต่ต้องยอมรับว่าชีวิตของเขาคงจะวุ่นวายไม่น้อยเลยล่ะจากวันนี้ไป





          เจ้าเด็กเหลือขอกลับบ้านไปนานแล้วแต่ทำไมเขาถึงหุบยิ้มไม่ลงกันนะ? จะว่าแสบก็แสบไม่ใช่น้อย จะว่าน่ารักก็ดูจะเหมาะสมกับเจ้าตัวไม่ธรรมดาเลย  "ผมมาบ้านคุณอีกได้มั้ย?"  นั่นคือคำพูดก่อนที่ร่างบางจะกลับบ้านไป แน่นอนว่าเขาไม่ได้ปฏิเสธแต่เหตุผลของเจ้าตัวร้ายนี่สิมันแปลกๆชอบกล  "ไม่อยากอยู่บ้านเดี๋ยวแม่จิกหัวใช้ทั้งวัน"  สรุปว่าคิดจะหนีแม่มาหลบอู้ที่บ้านเขาสินะ?
.
.
.
.
.
..Tobecontinue..








ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น