22 พ.ค. 2559

Attack on titan Au.Fic [Levi x Eren] Black Lies : 16

Attack on titan Au.Fic [Levi x Eren] Black Lies : 16

:Fanfiction Attack on titan


:Pairing : Levi x Eren x (Alfa)


:Genre : Drama,Action-Sci-Fi


:Rate : NC-17


คำเตือน :บทความต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชายากท่านใดไม่ต้องการรับรู้กรุณากดปิดขอบคุณค่ะ






          แว่วเสียงของเด็กกลุ่มหนึ่งดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ทำให้ร่างของใครบางคน ที่กำลังนั่งเหม่อมองควันสีขาวที่เพิ่งพ่นออกจากปากเมื่อครู่บนม้านั่งในสนามเด็กเล่นทิ้งก้นบุหรี่ในมือลง ก่อนจะใช้ปลายเท้าขยี้ซ้ำ เขาลุกขึ้นเดินล้วงกระเป๋ากางเกงเลาะตามแนวรั้วตาข่ายเหล็กไปเรื่อยด้วยฝีเท้าที่เอื่อยเฉื่อยแต่มั่นคง ชายเสิ้อเชิ้ตสีขาวปลิวไปตามแรงลมเพราะไม่ได้ติดกระดุมเม็ดสุดท้ายจนเห็นแถบผ้าพันแผลที่พันอยู่รอบเอวได้อย่างชัดเจน กระทั่งคอเสื้อด้านบนที่ปลดกระดุมลงถึงสองเม็ดก็ยังเห็นแถบผ้าพันแผลไปจนถึงไหปลาร้า

          แม้บาดแผลบนร่างกายยังห่างไกลจากคำว่าหายสนิท แต่รีไวล์ก็เบื่อเกินกว่าจะนอนอยู่นิ่งๆได้ เขารู้ว่าถ้ากลับบ้านไปตอนนี้ต้องถูกบ่นจนหูชาดิกกันไปข้างหนึ่งแน่ๆ แต่เพราะวันนี้ท้องฟ้าโปร่งจนทำให้คนที่ไม่เคยสนใจแหงนหน้ามองฟ้าอย่างเขาทนอยู่เฉยไม่ได้ อย่างน้อยๆ ก็ขอแค่ให้ได้สูดอากาศบริสุทธิ์ให้เต็มปอดดูสักครั้ง

          คิดได้แบบนั้นมุมปากก็ยกขึ้นข้างหนึ่งยิ้มหยันให้ตัวเอง อากาศบริสุทธิ์อะไรกัน?...เมื่อกี้เขาเพิ่งสูบบุหรี่ไปทั้งหลายมวนไม่ใช่หรือไง? ตอนนี้เองที่รีไวล์เพิ่งรู้ตัวว่า แม้แต่ความคิดของตัวเขาเองยังขัดแย้งกับการกระทำโดยสิ้นเชิง

          สองขายังคงก้าวไปข้างหน้าคล้ายไม่มีจุดหมายปลายทางที่ชัดเจน นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่เขาสามารถเดินเล่นชิวๆได้โดยไม่จำเป็นต้องระแวดระวังอันตรายรอบตัว ส่วนหนึ่งก็เพราะเขารู้ดีว่าไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่มีทางตามเขามาถึงนี่ได้
          นั่นก็เพราะที่นี่อยู่ติดกับฐานทัพฝั่งตะวันตกของญี่ปุ่น แนวรั้วตาข่ายเหล็กถี่ยิบนี่ล้อมเขตแดนไปจนถึงหนึ่งในสามของพื้นที่ทั้งหมด คงไม่มีไอ้น่าโง่คนไหนทะเล่อทะล่าบุกเข้ามาโดยไม่ดูตาม้าตาเรือขนาดนั้น
          เพราะแบบนั้น ตอนนี้เขาถึงไม่มีอาวุธติดตัวสักอย่าง เพราะนั่นหมายถึงการนำหายนะ มาให้ตัวเองโดยใช่เหตุ ทั่วทั้งเกาะเล็กๆแห่งนี้มีเซ็นเซอร์สแกนอาวุธทั้งหนักและเบากระจายอยู่เต็มไปหมด มีรถฮัมวี่ของพวกทหารเองก็วิ่งผ่านไปมาทุกๆสิบห้านาที นั่นแหละเหตุผลที่เขาไม่อยากทำตัวเป็นจุดสนใจ

          ถึงจะดูเหมือนที่นี่เข้มงวดกว่าในรัสเซียมาก แต่การให้สิทธิ์เสรีภาพต่อประชาชนดีกว่ารัสเซียมากเป็นเท่าตัว นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่พวกเขาเลือกเกาะนี้เป็นแหล่งกบดาน 

         สองขาหยุดอยู่กับที่เมื่อเดินมาถึงตู้โทรศัพท์สาธารณะ สภาพโทรมๆของมัน ไม่ต้องเดาให้เปลืองสมองก็รู้แล้วว่าไม่มีใครใช้งานมันมานานมากแล้ว

          รีไวล์เดินเข้าไปยกหูโทรศัพท์ขึ้นก่อนจะเสียบการ์ดอิเล็กทรอนิกส์ลงไป เสียงสัญญาณจากอีกฟากดังขึ้นมาทันทีโดยไม่จำเป็นต้องกดหมายเลข และสัญญาณดังขึ้นเพียงครั้งเดียวฝ่ายตรงข้ามก็รับสายของเขา ราวกับรออยู่ก่อนแล้ว

          "ยินดีต้อนรับกลับญี่ปุ่น...รีไวล์"  น้ำเสียงนั้นราบเรียบราวกับผืนน้ำที่นิ่งสงบ แต่รีไวล์ก็ฟังออกว่าอีกฝ่ายกำลังกระเซ้าเขาเล่น

          "นายรู้ใช่ไหมว่าต้องรับค่าจ้างที่ไหน..."  รีไวล์ไม่ตอบคำและยังคงนิ่งเป็นผู้ฟังที่ดี  "เก็บตัวอยู่ที่นั่นสักพัก  ถ้ามีงานที่สมน้ำสมเนื้อฉันจะติดต่อไปเอง ฝากความคิดถึงไปถึงอิสเบลด้วยล่ะ"

          "ชั้นจะไม่รับงานแบบนั้นอีกเป็นครั้งที่สอง"  รีไวล์พูดแทรกขึ้นก่อนที่ฝ่ายตรงข้ามจะตัดสายไป ฝ่ายนั้นนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ  "นายก็รู้ ว่าฉันไม่มีสิทธิ์ออกคำสั่งแต่ว่านะ...นายอ่อนไหวง่ายขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่? ถึงกับกลัวจะตกหลุมรักเหยื่อเป็นครั้งที่สองเชียว?..."

          "หุบปากเน่าๆของนายไปซะ ชั้นแค่เกลียดการเลี้ยงเด็ก"  รีไวล์ตอบกลับไปเสียงเย็น บอกให้รู้ว่าเอาจริงฝ่ายนั้นถึงยอมเงียบลงได้ แต่พนันได้เลยว่าอีกฝ่ายคงกำลังกลั้นขำจนน้ำตาเล็ดอยู่แน่ๆ เพราะเขาได้ยินเสียงสูดหายใจยาวๆแว่วมาตามสาย

          "โอเคๆ...งั้นก็หลบเลียแผลใจอยู่เงียบๆไปก่อนก็แล้วกัน"

          "ไอ้!..."  เขาพูดยังไม่ทันจบฝ่ายตรงข้ามก็ชิงตัดสายไปซะก่อน รีไวล์จึงได้แต่สบถกับตัวเอง พร้อมกับลั่นคำสาบานเอาไว้ในใจเงียบๆว่า ถ้าเจอหน้ากันเขาจะตั้นหน้าหมอนั่นไม่ในเหลือสภาพเดิมเลย!

          "ชิร์!..."  มือหนากระแทกหูโทรศัพท์ลงโดยแรง ก่อนจะเอื้อมมือลงไปใต้ฐานของที่วางโทรศัพท์ดึงซองสีน้ำตาลที่ติดเทปไว้ใต้นั้นออกมา แล้วหมุนตัวออกไป เขาไม่ลืมที่จะดึงการ์ดอิเล็กทรอนิกส์ติดมือกลับไปด้วย มือหนายัดซองสีน้ำตาลขนาดเท่าฝ่ามือใส่กระเป๋ากางเกงโดยไม่คิดจะเปิดออกมาดูว่ามีอะไรอยู่ในนั้น

          เขาเดินย้อนกลับมาทางเดิม แต่ฝีเท้ากลับสาวยาวๆเร็วกว่าขาไปมาก เพราะแบบนั้นเขาจึงเดินมาถึงสนามเด็กเล่นภายในไม่กี่นาที เด็กกลุ่มเดิมยังอยู่ที่นี่แต่ทั้งที่เมื่อกี้ยังได้ยินเสียงเจี้ยวจ๊าวน่ารำคาญ ตอนเขากำลังจะเดินผ่านไปทุกอย่างกลับเงียบกริบลงในบัดดล
          อดไม่ได้ที่จะเหลือบสายตามองไปด้วยคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับเด็กพวกนั้นหรือไม่? แต่ภาพที่เห็นก็เล่นเอาหางตากระตุกถี่ยิบ ไอ้เด็กบ้าพวกนั้นมันไม่ได้เป็นอะไร!...แต่กำลังกอดคอกันกลมดิกแล้วมองมาที่เขาด้วยสีหน้าที่เหมือนกับจะร้องไห้ซะนี่!...สายตาที่มองเขาไม่ต่างอะไรกับสายตาของเด็กที่มองสัตว์ประหลาด

          จากที่เป็นห่วงเลยกลายเป็นไม่สบอารมณ์ไปในทันใด รีไวล์เดินล้วงกระเป๋ากางเกงต่อไป ก่อนจะบังคับตัวเองไม่ให้กระโดดขย้ำคอเจ้าเด็กพวกนั้นไม่ได้...เพราะแบบนี้ไงเขาถึงเกลียดเด็ก ชอบแยกแยะคนอื่นจากรูปลักษณ์ภายนอกแทนที่จะมองให้ลึกลงไปมากกว่านั้น


          เจ้าเด็กเหลือขอนั่น ก็เหมือนกัน....

          




          "เฮือก!"   ร่างบางเด้งตัวลุกจากเตียงนอนราวกับติดสปริงเอาไว้ ภาพบางอย่างแตกสลายไปในอากาศราวกับมันไม่เคยเกิดขึ้นจริง มือบางยกขึ้นมาแตะที่หางตาด้วยความเคยชิน สัมผัสเปียกแฉะใต้ปลายนิ้วทำให้รู้ว่าแม้แต่เช้านี้เขาก็ยังคงร้องไห้เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา

          เอเลนนั่งนิ่งอยู่ในท่าเดิมพลางคิดทบทวนเหตุการณ์ในความฝัน ถึงแม้ว่ามันจะเลือนลางจนจำเรื่องราวทั้งหมดไม่ได้ แต่เอเลนก็รู้ตัวดีว่ากระทั่งในความฝัน คุณรีไวล์ก็ยังไม่ยอมหันกลับมามองหน้าเขา ความเสียใจถูกถ่ายทอดออกมาผ่านน้ำตา เขารู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังสะอื้น เมื่อตื่นขึ้นมาในตอนสายกระบอกตาก็ยังคงร้อนผ่าวทุกครั้ง เขาจำไม่ได้แล้วว่าตัวเองไล่ตามแผ่นหลังของคนคนนั้นไปเป็นครั้งที่เท่าไหร่?
          รู้เพียงแค่ว่าแทบจะทุกครั้งที่หลับตา ภาพของแผ่นหลังอันโดดเดี่ยวทว่าทรงพลังดุจภูผาของใครบางคนก็จะปรากฏขึ้นมาตรงหน้าเขาเสมอ ตั้งแต่วันนั้น...แม้จะผ่านมาแล้วกว่าสามอาทิตย์ แต่ความเป็นจริงอันโหดร้ายยังตามหลอกหลอนเขาอย่างไม่ยอมรามือ แน่นอนว่าความรู้สึกที่แสนทรมานนั้นค่อยๆเบาบางไปตามกาลเวลา

          ทว่า...คราวนี้กลับใช้เวลายาวนานมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา กระทั่งตอนนี้ก็ยังคงมีเศษเสี้ยวของความรู้สึกนั้นหลงเหลืออยู่ แม้ความเจ็บปวดจะจางหายไปแต่เขาก็ยังคิดถึงคนคนนั้นอยู่เช่นเดิม...คิดถึงจนเจ็บหน้าอกไปหมด แต่นี่คือเส้นทางที่เขาเลือกเอง จึงได้แต่พยายามทำใจให้ยอมรับผลที่ตามมา

          เอเลนสาบานกันตัวเองว่าจะไม่ยอมให้คุณรีไวล์หายไปจากความทรงจำ ต่อให้ต้องทนกับหัวใจที่แหลกสลายไปทีละเล็กละน้อย แต่ช่วงเวลาที่เขาได้อยู่กับผู้ชายคนนั้นก็ยังมีความทรงจำดีๆอีกมากมายให้นึกถึง

          เขายังแอบหวังว่าสักวัน พวกเขาต้องได้เจอกันอีกครั้ง อาจจะเป็นที่ไหนสักแห่งบนโลกใบนี้ ถึงแม้ว่าเมื่อถึงตอนนั้นพวกเขาอาจจะกลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน แต่เขาเชื่อว่าคุณรีไวล์ไม่มีทางลืมเขา...ไม่มีทาง...



          เอเลนขยับตัวลุกจากเตียงไปยืนเหม่อที่ริมหน้าต่าง หลังจากจมจ่อมอยู่กับความคิดของตัวเองอยู่นาน ใบหน้ามนสูดหายใจลึกๆก่อนจะปรับสีหน้าตัวเองให้เป็นปรกติ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อยากทำให้อัลไม่สบายใจหรือแม้แต่ไม่พอใจถ้าเห็นสีหน้าแบบนั้นของเขา  'อย่าทำหน้าแบบนี้สิ'  น้ำเสียงของอัลแปลกไปทุกครั้งที่พูดประโยคนี้ เขาจำได้แม่นยำว่าคุณรีไวล์ก็เคยพูดประโยคนี้กับเขาด้วยสีหน้าแปลกๆเหมือนกัน

         สองคนนี้...ทั้งคุณรีไวล์และอัลฟา พวกเขามีบางอย่างที่เหมือนกันทั้งที่เป็นศัตรู เขารู้ดีว่าคงต้องทำอะไรสักอย่างแต่ตอนนี้เขาคิดไม่ออกว่าต้องทำอย่างไร ถึงจะลดความแค้นเคืองออกไปจากใจของทั้งสองคนได้? 

          เขาไม่อยากเห็นภาพแบบนั้นอีกเป็นครั้งที่สองไม่อยากเห็นคนที่มีผลต่อจิตใจเขาอย่างรุนแรงต้องหันกลับมาห่ำหั่นกันเอง อาจจะฟังดูแปลกประหลาดไปสักหน่อย แต่คงต้องมีสักทางที่ใครอีกคนจะไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังแน่นอน

          "เฮ้อ..."  แค่พยายามคิด รอยหยักในสมองก็เหมือนจะเต้นตุ๊บๆเหมือนจะระเบิดขึ้นมาทันตา จนต้องย้ายครรลองสายตามองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง

          ด้านนอกคือผืนน้ำสีครามทอดยาวไปจรดกับผืนฟ้าสีเดียวกัน เขาไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน? รู้เพียงแค่ว่ามันคือเกาะเล็กๆที่ถูกล้อมรอบด้วยผืนน้ำจนสุดลูกหูลูกตาทุกทิศทาง มองเห็นเกาะอื่นๆที่อยู่ห่างกันแค่รำไรเท่านั้น แถมยังเงียบสงบจนแทบจะกลายเป็นเงียบเหงา

         แม้จะมีชาวประมงอาศัยอยู่อีกฟากหนึ่งของเกาะแต่ก็น้อยนิดเพียงไม่กี่สิบหลังคาเรือน จำนวนผู้อาศัยบนเกาะรวมๆแล้วยังน้อยกว่าเหล่าลูกน้องของอัลที่กระจายตัวอยู่รอบเกาะซะอีก เขาเดาว่ามันคงจะเป็นเกาะส่วนตัวของใครสักคนที่รู้จักกับอัล หรือบางที ที่นี่อาจจะเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลก็เป็นได้

          ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่เขาไม่รู้เกี่ยวกับอัลทั้งที่พวกเขาคือพี่น้อง เพื่อไขความข้องใจหมอนั่นแม้จะยอมเล่าความจริงบางอย่างให้เขาฟัง เกี่ยวกับเรื่องที่พวกเขาเคยฝึกวิชาการต่อสู้ด้วยกันเมื่อตอนยังเด็กแต่ก็ไม่ยอมเอ่ยปากมากไปกว่านั้น ต่อให้เขาพยายามซักอย่างไม่ยอมรามือแต่อัลก็ยังหาวิธีหลีกหลบได้ทุกครั้ง

          คิดถึงเรื่องนี้ที่ไรก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างปลงๆทุกที ปลายเท้าเปลือยเปล่าพาตัวเองหายเข้าไปในห้องน้ำเมื่อรู้ตัวว่าต่อให้ยืนเหม่อตรงนี้ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นกว่าที่ผ่านมา เสื้อเชิ้ตตัวหลวมโคล่งที่สวมตอนนอนไหลลงไปตามผิวเนียนเรียบลงไปกองกับพื้น มือกวักน้ำในอ่างวัดอุณหภูมิเล็กน้อยก่อนจะก้าวขาลงไป 


          หนึ่งชั่วโมงให้หลัง เอเลนกึ่งเดินกึ่งวิ่งลงไปยังสนามซ้อมยิงปืนด้วยชุดทะมัดทะแมง เสื้อคอตตอนพอดีตัวสีดำ กางเกงคาร์โกแบบทหาร รองเท้าคอมแบท กับถุงมือหนังสีดำตัดปลาย แม้จะเป็นการแต่งตัวที่ไม่คุ้นชินแต่มันทำให้เขาเคลื่อนไหวได้คล่องตัวในเวลาที่ฝึกการต่อสู้

          เขาเป็นคนเอ่ยปากขอฝึกการต่อสู้ด้วยตัวเอง แม้จะไม่ค่อยเต็มใจนักแต่อัลก็ยอมให้เรย์ที่เป็นลูกน้องคนสนิทสอนการต่อสู้ขั้นพื้นฐานให้เขา ตารางเรียนในแต่ละวันไม่ตายตัว ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศของวันนั้นๆ ช่วงนี้เป็นฤดูมรสุมเพราะฉะนั้นส่วนใหญ่เรย์จะสอนการต่อสู้ระยะประชิดในโรงฝึก แต่พยากรณ์อากาศบอกว่าวันนี้ฟ้าโปร่งเขาต้องออกไปฝึกยิงปืนที่สนามกลางแจ้ง 

          การฝึกตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาไม่ได้หนักหน่วงอย่างที่คิดไว้ แค่เบสิคพื้นฐานทั่วไปเช่นการประกอบอาวุธ ซ้อมยิงเป้านิ่ง ออกกำลังเพื่อเพิ่มกล้ามเนื้อ และวิธีจู่โจมคู่ต่อสู่ด้วยมือเปล่า สำหรับการฝึกใช้อุปกรณ์เคลื่อนย้ายก็ยังอยู่แค่ขั้นตอนการทรงตัวกลางอากาศ แต่นั่นมันก็ยากเย็นแสนเข็ญเหลือเกินสำหรับเขา ฝึกมาทั้งอาทิตย์เขายังทรงตัวไม่ได้ตามเวลาที่เรย์กำหนดเลยแม้แต่ครั้งเดียว

          "อรุณสวัสดิ์ครับ"   ใบหน้ามนยิ้มรับคำทักทายของอีกฝ่าย เรย์เป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงอายุราวๆสามสิบไม่เกินนี้ อัลดูไว้เนื้อเชื่อใจลูกน้องคนนี้มากพอสมควรแต่เขาไม่แน่ใจว่า ถ้าเรย์ทำให้โกรธหรือไม่สบอารมณ์อัลจะฆ่าอีกฝ่ายทิ้งเหมือนที่ทำกับลูกน้องสองคนนั้นหรือเปล่า?

          สามอาทิตย์ที่ผ่านมาเอเลนได้เรียนรู้วิธีแบ่งแยกมนุษย์ธรรมดากับมนุษย์ที่ถูกกระตุ้นจิตใต้สำนึกหรือ ME ได้อย่างแจ่มแจ้ง เพราะลูกน้องของอัลที่อยู่บนเกาะนี้แทบหาคนที่แสดงสีหน้าและอารมณ์แบบคนปรกติไม่ได้เลย คนพวกนั้นมักทำสีหน้าเย็นชา เคลื่อนไหวไปมาอย่างไร้สุ่มเสียง การดำรงชีวิตในแต่ละวันเป็นไปอย่างตายตัวและทำแบบเดิมซ้ำๆทุกวัน 

          แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังหาข้อแตกต่างของอัลฟากับคนคนนั้นไม่ออก และไม่รู้ด้วยว่าตอนนี้ทั้งคู่ยืนอยู่ตรงจุดไหน พวกเขาเย็นชาบ้างในบางครั้ง แต่บ่อยครั้งที่แสดงอารมณ์แบบมนุษย์ออกมาทางสีหน้า การเคลื่อนไหวคล่องตัวสูง แต่ก็ยังมีช่วงเวลาที่ผ่อนคลายให้เห็นเช่นเดียวกัน เขาไม่เชื่อว่านั่นคือความสามารถของมนุษย์ธรรมดาทั่วไป สองคนนั้นคงมีอะไรบางอย่างที่แตกต่าง หรือไม่ก็ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารแล้วก็เป็นได้?

          "ดูเหม่อๆนะครับ?"  เรย์ถามขึ้น

          "เปล่าซะหน่อย"  เอเลนตอบเสียงเรียบแล้วลงมือประกอบปืน เรย์พยักหน้าช้าๆไม่ต่อคำ เอเลนเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นสูง ความพยายามที่จะเรียนรู้และทำความเข้าใจกับทุกอย่าง ถึงแม้บางครั้งจะหัวรั้นไปสักหน่อยและมีอาการเหม่อลอยแบบนี้ให้เห็นแต่เจ้าตัวก็ดึงสติของตัวเองกลับมาได้โดยไว

          แม้ในความเป็นจริงการละสายตาจากคู่ต่อสู้ในสนามรบ ถึงจะแค่เสี้ยววินาทีก็หมายถึงชีวิตแล้วก็ตาม แต่เพราะเขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเอเลนเมื่อสามอาทิตย์ก่อน เขาจึงยังไม่เข้มงวดกับอีกฝ่ายจนเกินไป เขารู้...ว่ากาลเวลารักษาแผลใจได้ แต่เด็กนี่กลับดูเข้มแข็งขึ้นในเวลาอันสั้นจนน่าตกใจ แต่เขาก็รู้เรื่องราวของเอเลนแค่ผิวเผินจึงไม่สามารถฟันธงได้ในทันที 

          อัลฟาไม่เคยปล่อยให้ใครล่วงรู้ในสิ่งที่เขาไม่ต้องการให้รู้และลูกน้องอย่างพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องอยากรู้อยากเห็นเรื่องส่วนตัวของเจ้านาย

          "วันนี้เราจะฝึกยิงเป้าเคลื่อนที่ห้าร้อยนัด คุณต้องทำคะแนนให้ได้อย่างน้อยกึ่งหนึ่งถึงจะผ่านการทดสอบครั้งนี้ได้ ช่วงบ่ายฝึกการต่อสู้ระยะประชิดในยิมครับ"  เรย์แจ้งกำหนดการฝึกซ้อมให้เจ้าตัวฟังพลางส่งสัญญาณให้ทีมช่วยฝึกสอนประจำตำแหน่ง

          "อัลฟาล่ะ?"

          "คุณฟังที่ผมพูดอยู่หรือเปล่า เอเลน?"

          "ฟังสิ วันนี้เราจะซ้อมยิงเป้าเคลื่อนที่ห้าร้อยนัด ผมต้องทำคะแนนให้ได้อย่างน้อยกึ่งหนึ่ง ช่วงบ่ายฝึกการต่อสู้ระยะประชิดในยิมใช่หรือเปล่า?"  ใบหน้ามนหันไปมองฝ่ายตรงข้าม  "ถึงตาคุณตอบคำถามผมแล้ว" 

          เรย์มองใบหน้าดวงนั้นนิ่งๆอยู่ครู่หนึ่ง ถึงยอมตอบคำถาม  "อัลฟางานยุ่งกว่าที่คุณเห็น"  เอเลนขมวดคิ้วไม่พอใจ สิ่งที่เรย์ต้องการจะบอกเขาคืออัลออกไปทำงานเขารู้ดี แต่งานที่ว่านั่นมันอะไรล่ะ? อย่างเดียวที่นึกออกในตอนนี้ไม่ใช่ว่าอัลฟากำลังจะพรากชีวิตของใครอยู่หรอกหรือ? บางที...อาจจะลงมือไปแล้วก็ได้?

          "ไม่ใช่อย่างที่คุณคิดหรอก ตอนนี้เขากำลังเจรจาต่อรองอยู่ต่างหาก"  เรย์พูดดักความคิดของเขาขึ้นมาอย่างรู้ทัน

          "กับใคร?"เอเลนถามอย่างไม่ยอมแพ้ เรย์ไม่ตอบในทันทีแต่ก้มมองนาฬิกาที่ข้อมือของตัวเองแทน แล้วเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเจ้าตัว

          "คงใกล้จะกลับมาแล้ว ระหว่างทานมื้อเย็นคุณก็ถามเจ้าตัวเอาก็แล้วกัน"  มื้อเย็น? แต่ตอนนี้มันยังไม่สิบเอ็ดโมงเลยด้วยซ้ำ!...คนฟังถึงกับลมออกหูใบหน้างอง้ำขึ้นมาทันที สรุปว่าเขาต้องเก็บความสงสัยที่ไม่มีวันได้รับคำตอบต่อไปอีกกว่าเจ็ดชั่วโมงเชียวนะ! 

          เอเลนเม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะสะบัดหน้าหนีไปทางอื่น เขารู้ว่าคนที่นี่บ่ายเบี่ยงและเลี่ยงที่จะตอบคำถามเก่งๆกันทั้งนั้น ไม่ต้องพูดถึงอัลฟา เพราะต่อให้เขาซักอัลก็ไม่ยอมตอบอยู่ดี!

          นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คำถามของเขาถูกโยนไปโยนมา แต่ถึงแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าคำตอบต้องออกมาลักษณะนี้ก็ยังหวังว่าใครสักคนอาจจะยอมหลุดปากพูดออกมาบ้าง โชคร้ายที่อัลฟาฝึกคนของเขาได้ดีเหลือเกิน

          เอเลนหันกลับไปประกอบชิ้นส่วนปืนบนโต๊ะต่อด้วยอารมณ์หงุดหงิด อาจเป็นเพราะแบบนั้น วันนี้เขาจึงใช้เวลาประกอบมันน้อยกว่าตอนที่ตั้งใจทำซะอีก

          ปังๆๆๆ

          หลังจากดันแมกกาซีนใส่เข้าไปก็สไลกระบอกปืนเพื่อส่งกระสุนนัดแรกขึ้นรังเพลิงแล้วลั่นไกออกไปติดๆกันทันทีโดยไม่รอฟังสัญญาณจากเรย์ ส่งผลให้กระสุนทั้งหมดพลาดเป้าอย่างสวยงาม ทว่าปลายนิ้วก็ยังเหนี่ยวไกออกไปรัวๆโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดจนกระทั่งลูกกระสุนหมดแมก

          "15 นัด...คะแนน 0..."  เรย์ขานคะแนนด้วยน้ำเสียงราบเรียบโดยไม่สนใจท่าทางฮึดฮัดของลูกศิษย์  "ถ้ายังใช้กระสุนแบบไม่สนใจเป้าแล้วทำคะแนนไม่ถึงครึ่ง คุณต้องยิงอีก500นัดและเริ่มนับหนึ่งใหม่จนกว่าจะผ่านการทดสอบ เอเลน"

          โหดร้าย!...เอเลนตำหนิอีกฝ่าย แน่นอนว่าไม่ได้พูดมันออกมา เพราะการที่ต้องยกปืนที่มีน้ำหนักกว่าหนึ่งกิโลกรัมไว้นานๆ แถมยังต้องทำคะแนนให้ได้ครึ่งหนึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับเอเลน หากจะต้องมาเริ่มนับหนึ่งใหม่อีกห้าร้อยนัดพรุ่งนี้แขนเขาต้องเป็นอัมพาตแน่ๆ!
          เรย์เป็นคนที่มีจิตใจอ่อนโยน แต่บางครั้งเจ้าตัวก็ใจร้ายได้อย่างหน้าตาเฉย จนบางครั้งเขานึกสงสัยว่าภายตาใบหน้าอ่อนโยนนั่น อาจซ่อนปีศาจร้ายเอาไว้เป็นร้อยๆตัวเลยก็เป็นได้ สิ่งหนึ่งที่มั่นใจคือเรย์เป็นมนุษย์ปรกติธรรมดาเหมือนอย่าง...เขา...

          ใบหน้ามนค้อนขวับให้เรย์ ก่อนจะบรรจุลูกกระสุนใส่แมกกาซีนอีกครั้ง ปากยังขยับขึ้นลงบ่นในใจไม่เลิก ทว่าคราวนี้เขาสูดหายใจลึกๆอย่างพยายามทำสมาธิ ถึงความหงุดหงิดจะยังกรุ่นๆในใจ แต่ก็ไม่อยากเริ่มนับหนึ่งใหม่เป็นครั้งที่สอง

        เรย์ยกมุมปากขึ้นข้างหนึ่งอย่างพอใจกับท่าทางของลูกศิษย์ แล้วการทดสอบก็เริ่มต้นขึ้น 


         แต่ถึงอย่างนั้น โชคร้ายก็ยังมาเยือนเอเลนอีกครั้งจนได้ แขนที่ยืดตรงออกไปเริ่มชาดิก ปลายนิ้วและฝ่ามือที่กระชับด้ามปืนสั่นระริกจนแทบจะประคองมันต่อไปไม่ไหว การยิงปืนห้าร้อยนัดสำหรับมือใหม่กินเวลายาวนานกว่ามืออาชีพหลายเท่าตัว แล้วยิ่งต้องยิงถึงหนึ่งพันนัดเวลาก็ล่วงมากว่าห้าชั่วโมงแล้ว

          "168 คะแนน คุณทำได้ดีกว่ารอบแรกมาก"  ก็แหงล่ะ!...แต่เอเลนกลับไม่รู้สึกดีใจกับคำชมนั่นสักกระผีกเดียว นั่นก็เพราะ...

          "หนึ่งร้อยนัดสุดท้ายก็พยายามเข้าล่ะ ถ้ายังไม่ผ่านผมจะให้คุณยิงต่ออีกห้าร้อย"

          "นายมันปีศาจชัดๆ!"  ใบหน้ามนถอดแมกกาซีนออกมา แล้วเริ่มบรรจุกระสุนลงไปเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ปลายนิ้วที่ค่อยๆกดลูกกระสุนลงไปช้ำจนเป็นสีม่วงอมแดง เรย์ยังใจร้ายอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ขนาดแมกกาซีนสำรองก็ไม่มีให้ หรือมีให้ก็แค่แมกกาซีนเปล่า ไม่ยอมให้ลูกน้องคนอื่นช่วยบรรจุกระสุนให้เขาอีกต่างหาก

          แต่ที่น่าเจ็บใจยิ่งกว่าคือกระสุนหนึ่งร้อยนัดที่เหลือรอบนี้ต่างหาก 168 คะแนน นั่นหมายความว่าเขาต้องยิงให้โดนเป้าอีก82นัด พลาดได้แค่18นัดเท่านั้น ดวงตากลมตาเหล่มองกล่องกระสุนที่เรียงกันเป็นตับอยู่ที่โต๊ะด้านข้าง เขาจะพลาดไม่ได้แล้ว ถ้าพลาดปีศาจร้ายข้างหลังต้องให้เขายิงอีกห้าร้อยนัดจริงๆแน่!

          แล้วต้องทำอย่างไรล่ะ?....ขนาดสี่ร้อยยังโดนแค่ร้อยหกสิบแปดเอง แต่จะให้เอ่ยปากยอมแพ้ทิฐิในใจก็แรงกล้าซะเหลือเกิน เรย์คอยสอนและให้คำแนะนำอยู่ด้านหลังโดยไม่มีประโยคใดตกหล่น ทำหน้าที่เป็นครูฝึกที่ยอมเยี่ยมตลอดระยะเวลากว่าห้าชั่วโมงที่ผ่านมา เป็นเขาเองที่ทำเป็นเอาหูทวนลมไม่ยอมทำตามคำแนะนำของอีกฝ่าย

          กว่ารู้จะรู้ตัวว่า 'แค่ความพยายามอย่างเดียวมันไม่พอ' ก็ผ่านเลยมาเกือบครึ่งทางแล้ว กระสุนห้าร้อยนัดแรกเป็นบทเรียนที่ดีที่สุด แต่พอตั้งอกตั้งใจฟังคำสอนของเรย์ สองแขนก็เริ่มชาจนแทบยกไม่ขึ้นแล้ว เขารู้ ว่าที่เรย์ไม่ยอมให้เขาหยุดก็เพื่อจะลงโทษที่เขาไม่ฟังคำสอนในตอนแรก เขารู้ดีว่าสิ่งที่เรย์ต้องการคือคำขอโทษและทำให้เขารู้ซึ้งถึงขีดจำกัดของตัวเอง จะได้เลิกทำตัวอวดดีสักที

          "คุณจะยอมแพ้ก็ได้นะ...ถ้าคุณอยากหยุดผมจะ..."  ยิ่งโดนสบประมาทแบบซึ่งหน้าด้วยแล้ว ยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองมีควันพุ่งออกหู

          "ไม่!...ผมจะทำ!"  พูดออกไปแล้วจึงได้มานึกเสียใจภายหลังกับความปากไวของตัวเอง เรย์อุตส่าห์ยอมอ่อนข้อให้เขาดันปัดทิ้งอย่างไม่ใยดีซะนี่ แต่เพราะคำพูดกวนประสาทแบบนั้นนั่นแหละเขาถึงสวนกลับแบบทันควัน! ไม่นึกไม่ฝันมาก่อนว่าคนที่ดูอ่อนโยนอย่างเรย์จะใจดำขนาดนี้? เจ้าตัวไม่ยอมบอกให้เขาหยุด แต่จะให้เขาเป็นฝ่ายขอร้องด้วยตัวเอง ซึ่งเขาก็ไม่มีวันยอม หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่ยอม

          เอเลนดันแมกกาซีนให้เข้าที่ ก่อนจะรวบรวมกำลังเฮือกสุดท้ายลั่นไกออกไปอีกครั้ง เสียงเหนี่ยวไกเดี๋ยวดังเดี๋ยวหยุดเหมือนกับรถที่น้ำมันกำลังจะหมดลง ซ้ำร้ายกระสุนทั้งสิบห้านัดดันเข้าเป้าแค่เพียงนัดเดียว

          "พลาดสิบสี่..."  เรย์ถอนหายใจอย่างเอือมระอา ก่อนจะพูดต่อ  "ยอมรับเถอะว่าคุณทำไม่ได้ หรืออยากจะยิงอีกห้าร้อยจริงๆ?"

          เอเลนหน้าม่อยลงไปถนัดตา ถึงจะเจ็บใจแต่เจ้าตัวก็เอาแต่เม้มปากแน่น สุดท้ายก็ค่อยๆลดกระบอกปืนลง เขาทำไม่ได้ โอกาสของเขาหมดแล้ว เปอร์เซ็นต์ที่เหลืออยู่แทบจะเป็นศูนย์ เขาพลาดได้อีกแค่สามครั้งถ้าขืนยังปากแข็งอยู่แบบนี้ เขาก็ไม่เหลือแรงจะยิงอีกห้าร้อยนัดที่เหลือแล้ว ใบหน้ามนขยับริมฝีปากเตรียมจะเอ่ยยอมแพ้ ทว่ายังไม่ทันเปล่งเสียงออกไปก็มีอีกเสียงหนึ่งดังขึ้นมาขัดซะก่อน

          "สงครามยังไม่จบอย่าเพิ่งนับศพทหารสิเรย์"  

          เอเลนทำท่าจะหันกลับไปมองแต่เสียงนั้นกลับดังอยู่ใกล้เกินไป ครู่ต่อมาก็รู้สึกได้ถึงเงาที่ทาบทับลงมา แผ่นหลังถูกประกบเอาไว้ด้วยแผงอกของใครอีกคนทำเอาใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ การมาเยือนของผู้มาใหม่ไร้สุ่มเสียงจนเขาไม่ทันรู้ตัว ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือเขาใช้เวลาอยู่ที่สนามยิงปืนกว่าหกชั่วโมงแล้วอย่างนั้นหรือ? 

          "อัล?"  เอเลนพึมพำออกมาเบาๆโดยไม่ได้หันกลับไปมอง สองแขนภายใต้เสื้อเชิ้ตสีขาวยื่นมาหยิบปืนในมือเขาไปแล้วบรรจุกระสุนใส่แมกกาซีนอย่างคล่องแคล่วทั้งที่อีกฝ่ายยังอยู่ในท่าทางที่เหมือนกับกอดเขาเอาไว้จากด้านหลัง

          "เรามีโอกาสเหลืออยู่เท่าไหร่?"  เสียงทุ้มดังขึ้นที่ข้างหูแผ่วเบาจวนเจียนจะเป็นเสียงกระซิบ ลมหายใจอุ่นๆที่เป่ารดบริเวณซอกคอและกลิ่นอายคุ้นเคยทำเอาเอเลนรู้สึกหน้ามืดตาลายคล้ายจะเป็นลม แต่เจ้าตัวก็ยังคิดเข้าข้างตัวเองว่าอาจจะเป็นเพราะเขาเหนื่อยเกินไป

          "ปะ...แปดสิบห้านัด"  เอเลนตอบงำงึมกลับไป สายตายังจ้องที่ฝ่ามือของอีกฝ่ายใส่แมกกาซีนและสไลด์กระบอกปืนเมื่อไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง  "แล้วคะแนนที่ต้องทำล่ะ?"

          "แปดสิบสอง"  

          "หืมม์...ตกอยู่ในสถานการณที่ขับขันพอตัวเลยนี่"  อัลฟายังคงพูดด้วยน้ำเสียงปรกติ ต่างจากเอเลนที่เอาแต่ก้มหน้าจ้องแขนเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ขยับไปมาอยู่ตรงหน้า  "ไม่เป็นไร นายทำได้อยู่แล้ว"  อัลฟายัดปืนใส่มือเขาอีกครั้ง ทว่ามือหนาข้างนั้นก็ยังคงประคองมือที่ถือปืนของเขาเอาไว้ไม่ยอมปล่อย

          "สูงขึ้นอีกนิด หายใจเข้าลึกๆ เกร็งต้นแขนเอาไว้"  มือข้างที่ว่างยกให้สัญญาณกับลูกน้องก่อนจะย้ายมาโอบที่เอวบาง เป้าบินถูกปล่อยออกมาในจังหวะนั้น ปลายนิ้วเหนี่ยวไกออกไปโดยมีมือของอัลฟาช่วยประคองเอาไว้ เรี่ยวแรงที่แทบจะหมดไปก็เหมือนกับฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง

          อัลฟากระซิบที่ข้างหูตลอดเวลา แขนก็ยังไม่ลดระดับลง ใบหน้ามนทำตามคำพูดของอีกฝ่ายราวกับโดนสะกดจิด หางตามองเห็นตัวเลขสีเขียวบนหน้าจอนับคะแนนขยับเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่ปลายนิ้วเหนี่ยวไกออกไป

          เป็นอยู่แบบนั้นซ้ำๆจนกระทั่งกระสุนนัดสุดท้ายพุ่งออกไปโดนเป้าบินจนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ตัวเลขสีเขียวเองก็หยุดลงแล้วเช่นกัน ตัวเลขที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอคือ 252 คะแนน หมายความว่าแปดสิบห้านัดที่เหลือพลาดเป้าไปแค่ครั้งเดียว

          อัลฟายกมุมปากยิ้มเขากระซิบที่ข้างหูคนในอ้อมแขนว่า 'เก่งมาก' ก่อนจะเหลือบสายตากลับไปมองเรย์  "เอเลนผ่านการทดสอบของนายได้หรือยัง?"

          "ครับ"  เรย์ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่เปลี่ยนก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากสนามซ้อมไป แต่ยังไม่ทันก้าวพ้นประตูก็จำต้องหยุดฝีเท้าลง  "คราวหน้าเปลี่ยนให้เอเลนใช้วอล์เธอร์ก็แล้วกัน เบเร็ตต้าหนักเกินไป"

          เรย์หยุดยืนอยู่แบบนั้นครู่หนึ่ง หางตาลอบมองเจ้านายที่ยังยืนโอบร่างบางอยู่ในตำแหน่งเดิมเผื่ออีกฝ่ายมีอะไรจะสั่งเขาเพิ่มเติม จนเมื่อเห็นแล้วว่าคงหมดคำสั่งเพียงเท่านี้ปลายเท้าถึงยอมขยับ

          ที่จริงแล้วเขาก็คิดอยู่เหมือนกันว่ามือของเอเลนเล็กเกินไปสำหรับเบเร็ตต้า ไม่ว่าจะด้ามอวบใหญ่มากไปหน่อย ไม่เหมาะกับผู้หญิงหรือผู้ที่มือเล็ก ไกดับเบิ้ลลากยาวและลึกเกินไป น้ำหนักการเหนี่ยวไกค่อนข้างหนักเมื่อเทียบกับปืนรุ่นอื่นๆที่ใกล้เคียงกัน และการขึ้นลำอย่างรวดเร็วไม่ค่อยสะดวก
          ถึงแม้ว่ารุ่นคอมแพคจะลากไกง่ายกว่ามากแต่ยังติดปัญหาเรื่องน้ำหนักอยู่ดี  เขาแค่กำลังคิดว่าพรุ่งนี้จะเปลี่ยนให้ เอเลนใช้ปืนสัญชาติเยอรมันที่น้ำหนักเบากว่ากันเกือบครึ่ง ด้ามจับกระชับมือกว่า แต่นึกไม่ถึงที่อัลฟาจะสั่งเขาก่อนทั้งที่อีกฝ่ายเพิ่งแวะมาดูเอเลนฝึกครั้งแรก

          ก่อนหน้านี้อัลฟาให้สิทธิ์เขาฝึกฝนเอเลนโดยไม่เคยเข้ามาก้าววก่าย เพียงแค่กำชับเรื่องความปลอดภัยให้มากเป็นพิเศษเท่านั้น แต่วันนี้อีกฝ่ายกลับมาหาพวกเขาถึงสนามซ้อม แถมยังทำแบบนั้นต่อหน้าทุกคนอีก ไม่ใช่แค่การแนะนำเทคนิคทั่วไป

          แต่เป็นการโอบกอดเอเลนต่อหน้าลูกน้องอย่างเขา กระทั่งสายตาที่มองเอเลนยังดูลึกซึ้งเกินกว่าคำว่าพี่น้องไปไกล ตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่าอัลฟารักเอเลนแบบไหน เพิ่งเข้าใจแจ่มแจ้งถึงเหตุผลที่อัลฟาอยากฆ่าคนคนนั้นมากถึงขนาดนี้...แล้วเอเลนล่ะ? เด็กคนนั้นรักอัลฟาแบบไหนกัน?...
.
.
.
.
.
.
.
.
.
....TBC....


          อืมมม~...โนวคอมเม้นสำหรับตอนนี้นะคะ เพราะข้าพเจ้าง่วงแล้นน!! มุ่งมั่นตั้งใจปั่น(ฟิคเรื่องใหม่)ขนาดไหนคิดดู๊?? เจ็ดโมงเช้าแล้วยังไม่หลับไม่นอนอ่ะ!...ย้ำว่าไม่ใช่เพิ่งตื่นนะคะ แต่เพิ่งจะเข้านอนค่ะ555+

แล้วเจอกัลลล...



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น