16 ก.ค. 2558

Attack on titan Au.Fic [Levi x Eren] Black Lies : 08

Attack on titan Au.Fic [Levi x Eren] Black Lies : 08

:Fanfiction Attack on titan


:Drama,Action-Sci-Fi


:PG-15


คำเตือน :บทความต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชายหากท่านใดไม่ต้องการรับรู้กรุณากดปิดขอบคุณค่ะ










          ไม่รู้ว่าเป็นเช้าที่เท่าไหร่แล้วที่ร่างโปร่งบางขึ้นมารับลมบนดาดฟ้าของเรือ กลิ่นเค็มๆที่พัดมาตามแรงลมยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงง่ายๆในเมื่อรอบตัวยังมีเพียงแค่ผืนน้ำสีฟ้าครามจรดขอบฟ้าทั้งเหนือใต้ออกตกราวกับไม่มีที่สิ้นสุด


เรือลำใหญ่ยังคงลอยคว้างอย่างเดียวดายและเงียบเหงาทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ยังโหยหาความเงียบสงบอยู่แท้ๆแต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่ามันสงบเกินไป มือบางยกกล้องถ่ายรูปขึ้นมาถ่ายภาพของดวงอาทิตย์ที่กำลังจะโผล่พ้นขอบฟ้า แสงสีส้มอมทองของมันยังคงเจิดจ้าทั้งๆที่ตอนสายมีพายุกระหน่ำไม่เว้นแต่ละวัน นั่นก็เพราะกำลังเข้าสู่ฤดูมรสุม

ในญี่ปุ่น...หมายความว่าอีกไม่กี่อาทิตย์พวกเขาจะถึงจุดหมายปลายทาง

อีกไม่นานพวกเขาจะได้ลงไปเหยียบแผ่นดินญี่ปุ่นแล้ว...ใจมันอดที่จะเต้นแรงไม่ได้แต่ในหลายๆความหมายจนชักจะไม่แน่ใจว่าใจจริงๆแล้วตัวเองกำลังคาดหวังอะไรอยู่กันแน่ ใบหน้ามนสะบัดไปมาไล่ความคิดของตัวเองก่อนจะหันมาสนใจวิวรอบๆต่ออีกครั้ง มือแพลนกล้องไปหยุดที่มุมๆหนึ่งเหมือนที่ทำเป็นประจำทุกเช้าอย่างเคยชิน ปลายนิ้วกดชัตเตอร์ลงไปทั้งๆที่ยังไม่ได้เปิดแฟลตภาพที่ออกมาจึงดูขมุกขมัวไปบ้างแต่กลับให้อารมณ์ที่ต่างออกไป


ภาพของคุณรีไวล์...นี่ก็เป็นอีกอย่างที่ทำเป็นประจำทุกเช้าจากที่แค่ตามหาและจากที่เคยแค่มองผ่านเลนส์ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เผลอถ่ายเก็บไว้ ไม่รู้ว่าทำไมถึงอยากถ่ายเก็บไว้ทุกๆวัน ทั้งๆที่ท่าทางและอิริยาบทแทบจะเหมือนเดิมทุกกระเบียดนิ้ว ผู้ชายคนนั้นยังนั่งชันเข่าข้างหนึ่งพิงผนังหอสังเกตุการณ์แบบนั้นทุกเช้าแต่ก็อดกดชัตเตอร์ไม่ได้สักที


"วันนี้จะมีมรสุมด้วยแหละ...ลูกเรือบอกผมมาน่ะ"


ใบหน้าคมหล่อเหลาทำเพียงแค่หันมามองคนที่หย่อนก้นลงนั่งข้างๆนิดนึงก่อนจะหันกลับไปสนใจผืนน้ำตรงหน้าต่อจะต่างออกไปนิดหน่อยก็ตรงที่ริมฝีปากยกยิ้มบางๆชั่วขณะนั่น อยากถ่ายรูปเก็บไว้แต่กลัวอีกฝ่ายจะรู้เข้าซะก่อนว่าเขาแอบถ่ายรูปเจ้าตัวทุกวันเดี๋ยวได้โดนยึดกล้องกันพอดี


"ไม่ใช่แค่จะ...แต่มาแล้วต่างหาก"


มือหนายื่นออกไปรับเม็ดฝนที่กำลังหล่นลงมาเปาะแปะและเมื่อหันกลับไปมองที่ด้านหลังกลุ่มเมฆสีดำก็กำลังลอยต่ำใกล้เข้ามาเรื่อยๆอย่างที่ชายหนุ่มพูดจริงๆ


"เข้าข้างในกันเถอะ"


มือหนายื่นออกไปหวังจะฉุดอีกคนให้ลุกตามมาแต่มือบางกลับดึงชายเสื้อของเขาเอาไว้แทน


"อยู่เป็นเพื่อนผมก่อนสิครับ...ผมอยากเห็น"


"หือ?"


"พายุน่ะ...ผมอยากเห็นกับตาตัวเองสักครั้ง!"


ชอบอะไรพิลึกดีนะเจ้าเด็กนี่...แต่ก็นะ...ยังไงซะก็แปลกคนมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว จะตามใจสักครั้งก็แล้วกันใหนๆ...เวลาของพวกเขาก็เหลือไม่มากแล้ว...


"ก็ได้...แต่ต้องเข้าไปในนั้นนะ...ชั้นไม่ชอบฝนสักเท่าไหร่"   หัวแม่มือชี้ไปที่ห้องสังเกตุการณ์ทั้งๆที่ใบหน้ายังซังกะตายแต่ใบหน้ามนกลับพยักรับรัวๆราวกับเด็กที่ได้ของเล่นใหม่จนอดหมั่นไส้ไม่ได้ ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้พวกเขายังมองหน้ากันไม่ติดเลยด้วยซ้ำตั้งแต่ตอนที่เขา....แต่สุดท้ายทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้เขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เด็กนั่นยิ้มให้กับเขาและตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขายอมลดการ์ดตัวเองลงให้เด็กนี่เข้ามาในพื้นที่ส่วนตัว?...


มีแต่คำถามที่ไม่ต้องการคำตอบเต็มไปหมด...


สายฝนโปรยปรายลงมาราวกับฟ้าถล่มรอบกายของพวกเขาค่อยๆถูกสีดำของก้อนเมฆปกคลุมจนแทบจะมองอะไรไม่เห็นทั้งๆที่เมื่อครู่อีกฟากหนึ่งดวงอาทิตย์กำลังโผล่ขึ้นมาแท้ๆ เสียงแรงลมปะทะหน้าต่างดังกึกๆเหมือนจะหลุดออกมาแบบนี้คงไม่ธรรมดาสมกับที่เป็นมรสุมจนเรือลำใหญ่ขนาดนี้โคลงเคลงจนรู้สึกไปนั่นถ้าพวกเขายังอยู่ด้านนอกคงถูกหอบตกทะเลไปแน่ๆแต่เจ้าเด็กตรงหน้ากลับดูตื่นตาตื่นใจกับธรรมชาติที่ใครๆก็เรียกว่าโหดร้ายนั่น สองแขนยกขึ้นกอดอกพิงกรอบหน้าต่างมองเจ้าเด็กตรงหน้าอย่างเอือมระอากับรสนิยมแปลกๆนั่น


เสียงชัตเตอร์ดังขึ้นทุกครั้งที่มีฟ้าแล่บคงจะอาศัยแสงพวกนั้นถ่ายรูปสินะถึงจะสว่างวาบเพียงไม่กี่วินาทีแต่เด็กนั่นก็มือไวพอที่จะกดชัตเตอร์ทันหรือจะบอกว่าปฏิกิริยาตอบโต้ของร่างกายดีเยี่ยมก็คงไม่ผิดนักและเพราะแบบนั้นเมื่อฟ้าแล่บขึ้นมาอีกครั้งเขาจึงทันได้เห็นว่าเด็กนั่นหันหน้ามาทางเขาและ


แชะ!


เสียงชัตเตอร์ดังขึ้นพร้อมๆกันกับมือของเขาที่ยกขึ้นมาบังเลนส์ของเด็กนั่นเอาไว้ได้พอดิบพอดี!


"ทำอะไร?"


"เชอะ!...อุตส่าห์คิดว่าเผลอแล้วเชียว"


เด็กนั่นบ่นพึมพำกับตัวเองก่อนจะหันกลับไปสนใจด้านนอกต่อโดยไม่คิดจะตอบคำถามเขาและนั่นมันทำให้เขาถึงกับหลุดหัวเราะออกมาอย่างขำๆ ถึงจะเพิ่งพูดไปก็เถอะว่าเอเลนปฏิกิริยาตอบโต้ของร่างกายเร็วแต่มันยังเทียบไม่ได้กับ.....


แชะ!


"ฮะฮะ...ผมชนะ!"   อ่า~...เขาผิดเองแหละที่ประมาทเจ้าเด็กนี่คราวนี้เขาจึงไม่แม้แต่จะยกมือมาบังหน้าตัวเอง...แสบนักนะ!...


"เวลาคุณยิ้มแบบนี้ดูดีมากเลย...แต่ตอนที่คุณคุยกับทหารตอนนั้นมันเหนือความคาดหมายมากเลยล่ะในหลายๆความหมายน่ะ"   ใบหน้ามนยิ้มกรุ่มกริ่มอย่างมีเลสนัยจนน่าหมั่นไส้อีกครั้ง นี่คงจะคิดถึงตอนที่จะมาขึ้นเรืออยู่งั้นสินะที่เขาทำแบบนั้นก็แค่แสดงละครหรอก!...สาบานได้ว่าเขาจะไม่ทำแบบนั้นอีกเป็นครั้งที่สองแน่!...


"ไร้สาระ"


"แต่ผมชอบนะ...มันดูไม่เป็นตัวคุณดีเสแสร้งแบบสุดๆไปเลยล่ะ"


อะไรล่ะนั่นน่ะ?...เด็กสมัยนี้เข้าใจยากจริงๆโดยเฉพาะเด็กนี่รสนิยมว่าแปลกแล้วนิสัยใจคอยิ่งแปลกกว่าอีก ลืมไปแล้วรึไงว่าตัวเองโดนจับตัวมา?.หรือเพราะเชื่อมั่นว่าพี่ชายตัวเองจะมาช่วยได้แน่ๆงั้นเหรอ?...ต่อให้ลืมความเจ็บปวดหรือเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับตัวเองได้เร็วขนาดใหนตามแต่ก็ใช่ว่าจะจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองบ้างไม่น่าจะลั้ลล้าได้ขนาดนี้


"หึ..."


"มีอะไรน่าขำ?"


"เปล่า...ไม่มีอะไร"


ริมฝีปากอิ่มอมยิ้มบางๆเช่นเดียวกับอีกคนที่ทำเพียงแค่หยักยิ้มที่มุมปากแต่กลับไม่มีใครพูดอะไรออกมา นี่คงเป็นครั้งแรกที่พวกเขาคุยกันได้โดยไม่มีคำพูดจาร้ายกาจหลุดออกมา ก่อนหน้านี้เขามักจะมีคำพูดเหน็บแนมให้เด็กนี่เจ็บๆคันๆอยู่เรื่อยและเด็กนี่เองก็มักจะประชดประชันทุกครั้ง


แต่คราวนี้เขากลับคิดคำพูดพวกนั้นไม่ออก...


มือยื่นออกไปตรงหน้าโดยที่ไม่รู้ว่ายื่นมันออกไปทำไมจึงไม่แปลกใจที่ใบหน้ามนจะทำหน้าสงสัยจนเขาได้แต่หลุดยิ้มออกมากับความบ้าของตัวเอง เขากำลังหวังอะไรอยู่กันแน่?...


ทว่า...


ชั่วขณะที่กำลังจะทิ้งมือลงมาที่ข้างลำตัวมือบางกลับคว้ามือของเขาเอาไว้ซะก่อนและไม่รู้ว่าเพราะความเคยชินหรือเพราะหัวใจกำลังเรียกร้องกันแน่เขาถึงได้ดึงร่างโปร่งบางนั่นเข้ามากอดเอาไว้โดยที่เจ้าตัวเองก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร แสงสว่างวาบจากฟ้าแล่บเป็นระยะๆทำให้รู้ว่าต่างฝ่ายต่างก็กำลังจ้องตาของกันและกันอย่างไม่มีใครยอมละสายตามือข้างที่ยังจับกันและกันเอาไว้ค่อยๆสอดนิ้วประสานกันเอาไว้แน่น


"บ้ารึไง?...อย่าจับมือคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาติสิ"


ถึงจะพูดแบบนั้นออกไปแต่ริมฝีปากกลับกดจูบลงไปบนริมฝีปากอิ่มเบาๆ ใบหน้ามนถึงจะผงะไปบ้างแต่กลับยอมให้เขาล่วงเกินตัวเองแต่โดยดี


"คุณยื่นมาให้ผมจับเองต่างหาก"


ใบหน้ามนพึมพำออกมาเบาๆ แค่นั้นก็เพียงพอที่จะให้อีกฝ่ายได้ยิน รีไวล์หัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะกดจูบที่ริมฝีปากเบาๆอีกครั้ง...และอีกครั้ง...แต่เพียงแค่นั้นมันก็มากพอที่จะทำให้ร่างกายรู้สึกร้อนวูบวาบ เอวบางถูกรั้งเข้าไปแนบชิดยิ่งขึ้น มือที่เคยสอดประสานกันถูกปล่อยให้เป็นอิสระจึงได้แต่ยกขึ้นมาดันแผงอกแข็งๆของอีกฝ่ายเอาไว้เมื่อระยะห่างของร่างกายมันเริ่มจะน้อยลงทุกที


"กลัวเหรอ?"


"กะ...ก็แหงล่ะ!"


"ทำไมล่ะ?"


"ถะ...ถ้าคุณเลิกมองผมด้วยสายตาแบบนี้...ผมคงรู้สึกดีกว่านี้ล่ะมั้ง?...ผมรู้สึกเหมือนกำลังถูก...ลวนลาม..."


"ก็ถูกแล้วนี่...เพราะชั้นกำลังจะทำแบบนั้น"


"อ๊ะ!..."   ไอ้ความรู้สึกเหมือนกำลังขุดหลุมฝังตัวเองนี่มันอะไรกัน? อยากจะพูดอยากจะโต้อะไรบางอย่างกลับไปแต่มันก็สายเกินไปเมื่ออีกฝ่ายช่วงชิงคำพูดทั้งหมดทั้งมวลไปจากเขาด้วยริมฝีปากอุ่นร้อนไปซะแล้ว ฝ่ามือหนากดท้ายทอยที่ทำท่าจะถอยหนีลงมารับจุมพิตให้ถนัดขึ้นและปิดหนทางหนีได้ในเวลาเดียวกัน


ความช่ำชองของเรียวลิ้นกับฝ่ามือหนาที่สอดเข้ามาลูบไล้ผิวกายภายใต้เสื้อยืดตัวบางทำให้ร่างกายที่เคยลิ้มรสความหอมหวานมาแล้วถึงกับสั่นระริก มือบางเริ่มผลักใสอีกฝ่ายเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่ามันไม่ถูกต้องแต่ความปรารถนาของร่างกายก็ใช่ว่าปฏิเสธกันได้ง่ายๆเสียเมื่อไหร่แรงผลักที่ควรจะมีมากมายถึงได้เหลือเพียงน้อยนิด


"ยะ..คะ...อื้อ!"


ดูเหมือนรีไวล์เองก็รับรู้ได้ถึงความสับสนในใจของเจ้าคนในอ้อมแขนความเร่าร้อนรุนแรงถึงได้ค่อยๆเปลี่ยนเป็นความอ่อนโยนที่ยากจะปฏิเสธได้ มือที่กำลังต่อต้านเล็กๆถูกจับให้โอบเอาไว้ที่รอบคอก่อนที่ร่างกายของทั้งคู่จะไหลลงไปตามผนังห้องจนลงไปนั่งอยู่กับพื้นริมฝีปากที่บดเบียดซึ่งกันและกันจึงค่อยๆละออกให้อีกฝ่ายได้หายใจ


"ชั้นจะไม่หยุดหรอกนะ"   รีไวล์บอกความตั้งใจของตัวเองออกไปอย่างชัดเจนจนใบหน้ามนถึงกับผงะไป นัยน์ตาคู่คมที่มองมาจริงจังซะจนต้องหลุบต่ำลงไม่กล้าสบตา


"ผะ...ผมไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย!...ตะ...แต่คุณทำให้ผมกลัวหนิ!"


"หึ...ก็หน้านายตอนนี้มันอีโรติกชะมัด...ใครจะทน"


"อะไรของคุณ?"


"ชั้นบอกว่าชั้นทนไม่ไหวแล้วถ้าไม่เชื่ออยากจะจับดูมั้ยล่ะ?"


"จะ...จะ...จับอะไรของคุณ?!?...ตาลุงโรคจิต!!...ลามก!!...บ้ากาม!!...คนบ้า!!!"


กำปั้นเล็กๆทุบลงมาที่แผงอกเขาเต็มแรงแล้วร่างโปร่งบางก็ลุกพรวดพราดออกจากห้องไปหลังจากด่าเขาออกมาชุดใหญ่ปล่อยให้เขานั่งหัวเราะให้กับตัวเองอยู่เพียงลำพัง...ก็นะ...ยังไงตัวเขาก็อันตรายที่สุด...เด็กนั่นควรจะระวังตัวให้มากกว่านี้อีกนิดไม่ใช่ว่าเขาจะหักห้ามใจตัวเองได้ตลอดเสียเมื่อไหร่...



"ทะเลาะกันอีกแล้วรึไง?"   ฟาลันถามขึ้นมาทันทีที่เขาก้าวขาเข้ามาในห้องพรางมองหน้าเขาสลับกับร่างโปร่งบางที่นั่งกอดเข่าทำหน้างออยู่ที่ริมหน้าต่างก่อนจะเป็นฝ่ายยักไหล่เองเพราะคงไม่ได้คาดหวังคำตอบอะไรจากเขา


"นายนี่น้า...ถ้าอัดอั้นนักก็ไปเอาออกซะบ้างสิไป๊...ข้างบนมีผับถึงจะไม่แจ่มเท่าบนแผ่นดินใหญ่แต่ก็พอแก้ขัดได้นา"


คนถูกบ่นไม่ได้คิดจะสนใจคำพูดของเพื่อนสนิท ร่างสันทัดทำเพียงเดินไปนั่งหน้าจอแล็ปท็อปที่ยัยหัวแดงเปิดทิ้งเอาไว้ต่างจากคนที่นั่งอยู่ที่ริมหน้าต่างที่ได้แต่เบิกตากว้างกับคำพูดนั้น และเพราะโต๊ะที่เขานั่งอยู่มันห่างจากร่างโปร่งบางเพียงแค่เอื้อมถึงจึงทันได้เห็นท่าทางแปลกๆนั่นเข้า


"....."   เขาทำเพียงแค่ลอบมองอยู่เงียบๆปล่อยให้ฟาลันพล่ามเรื่องไม่เป็นเรื่องต่อไป...และปล่อยให้ความเข้าใจผิดทำหน้าที่ของมันอยู่เงียบๆถึงแม้ว่าจะเป็นเขาเองที่ทำให้เด็กนี่ไขว้เขว






ดวงตาสีดำขลับแต่มักจะมีแววเย็นชาอยู่ตลอดเวลากวาดสายตาตรวจสอบตารางเวลาเข้าออกของพนักงานในความดูแลอย่างไม่ได้ใส่ใจอะไร แค่เช็คดูว่ามีลายเซ็นต์เข้าออกเปลี่ยนกะครบทุกช่องก็เพียงพอแล้ว


ก่อนหน้านี้เธอก็เคยทำงานแบบนี้มาก่อนแต่รายละเอียดปลีกย่อยและเนื้อหาใจความสำคัญของมันช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว เมื่อหกเดือนก่อนหน้านี้เธอยังนั่งทำงานในห้องทำงานส่วนตัวของตัวเองที่ทั้งกว้างขวางและความเป็นส่วนตัวสูงอยู่ที่หน่วยงานความมั่นคง เอกสารที่กองสุมอยู่บนโต๊ะต่างก็เป็นความลับสุดยอด มีปืนพกประสิทธิภาพสูงติดตัวถึงสองกระบอก


แต่ดูตอนนี้สิ!


ที่เอวกลับมีเพียงวิทยุสื่อสารกับกระบองไม้เล็กๆที่ตีหัวใครก็ไม่แตกห้อยอยู่ ห้องทำงานเล็กๆที่มีเพียงพัดลมเพดานเก่าๆจนแทบจะไม่รู้สึกถึงความเย็นและเอกสารที่ไม่ได้มีความสลักสำคัญอะไรเพียงไม่กี่แผ่น


จากเจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคงระดับสูง...


กลายมาเป็นเพียงหัวหน้ารปภ.เฝ้าตึกของหน่วยงานได้อย่างไม่คาดคิด...งานสบายซะจนต่อให้อยู่ตรงนี้ทั้งวันทั้งคืนก็ยังได้ เพราะแบบนั้นถึงแม้ว่าตอนนี้จะล่วงเวลาเกือบจะสี่ทุ่มเข้าไปแล้วแต่กลับไม่รู้สึกว่าเหน็ดเหนื่อยอะไร


ลำพังแค่ถูกลดขั้นมันไม่ได้ทำให้เลือดในกายมันพุ่งพล่านได้เลยสักนิดแต่พอคิดถึงคนที่ทำให้เธอต้องตกอยู่ในสภาพนี้แล้วใบหน้าสะสวยก็ดูเหมือนมีชีวิตขึ้นมาทันที สามเดือนที่ถูกพักงานกับอีกสามเดือนที่ต้องมานั่งทนร้อนอยู่ที่นี่แทนที่จะได้ออกไปจับผู้ก่อการร้ายหรือไขคดีอาชญากรรมระดับชาติเป็นเพราะคนเพียงคนเดียวเท่านั้น!


คนที่เหมือนกับเป็นคู่ปรับกันมาตั้งแต่ลืมตาดูโลกคนนั้น...


RRR RRRR~~


"มีอะไร!?"   น้ำเสียงที่กรอกลงไปตามสายบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าตอนนี้อารมณ์ของเธอกำลังคุกรุ่นได้ที่ถ้ามีไอ้ลูกน้องคนใหนทำผิดกฏล่ะก็ได้ตามไปเฝ้ายมบาลที่โลกหน้าแน่!


[หัวหน้า~...สบายดีหรือเปล่าครับ?]


"อืม..."


น้ำเสียงคุ้นเคยเป็นอย่างดีทำให้เธอยอมตอบออกไปด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง อย่างน้อยเจ้าหมอนี่ก็มีชะตากรรมเดียวกันกับเธอ หน่วยของเธอถูกยุบลูกน้องทั้งหมดถูกโยกย้ายเข้าสังกัดหน่วยอื่นทั้งทีม...หมอนี่ก็เป็นหนึ่งในนั้น...


"แล้วนายล่ะตอนนี้สังกัดหน่วยใหน?"


[กรมทางหลวงครับตอนนี้กำลังปฏิบัติหน้าที่เคลียเส้นทางบนทางด่วนครับ]


"งั้นเหรอ...เดี๋ยวก็โดนย้ายไปเป็นยามเฝ้าตึกหรอกโทรมาระหว่างปฏิบัติหน้าที่แบบนี้"


[ไม่ครับ!...ผมเพิ่งเปลี่ยนกะพอดีแต่มีข่าวลือแปลกๆอยากให้หัวหน้าระวังตัวเอาไว้!]


"อะไร?"


[หัวหน้าเคยได้ยินคำว่าหน่วยสามมั้ยครับ?]


"ไม่...มันคืออะไร?"


"ผมก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรแต่แอบได้ยินพวกระดับสูงของที่นี่คุยกันว่าเป็นหน่วยที่ขึ้นตรงกับรัฐบาลแต่ไม่เคยมีผลงานที่ปรากฏแน่ชัดสันนิษฐานกันว่าอาจคอยทำงานลับๆให้รัฐบาลคล้ายๆกับพวกองค์กรน่ะครับ หัวหน้าหน่วยของคนพวกนี้ไม่เคยมีใครเห็นหน้ามาก่อนเมื่อคืนผมเลยแอบแฮกข้อมูลของพวกมันดูผู้ชายยคนนั้นเป็นชาวต่างชาติครับสูงใหญ่ผมสีทองตาสีฟ้าชื่อเอลวิน สมิทธถ้ามีคนแบบนี้ไปหาหัวหน้าอย่างไปฟังที่...]


ก๊อกๆๆ!!


"มีอะไรฉันกำลังคุย!!..."


มือรีบปิดมือถือของตัวเองเอาไว้ก่อนจะหันไปตะคอกอีกฝ่ายอย่างอารมณ์เสียทว่าคนที่เดินเข้าห้องมาอย่างไม่ให้สุ่มให้เสียงกลับทำให้มือยอมลดมือถือลงแต่โดยดี


ร่างสูงใหญ่ ผมสีทอง ตาสีฟ้า...ที่เหลือก็แค่!...


"สวัสดีคุณมิคาสะ อัคเกอร์แมน ผมเอลวิน สมิทธจากหน่วยสาม"


ตรงตามที่ได้ยินมาเป๊ะ! มือถือถูกซุกเอาไว้ที่ใต้โต๊ะทั้งๆที่ยังไม่กดวางสายอย่างจงใจ


"มีธุระอะไรกับฉัน?"


"เข้าเรื่องเลยแล้วกัน...ผมกำลังมองหาคนที่มีความสามารถอย่างคุณมาร่วมงานกับหน่วยของเรา"


"ขอปฏิเสธ"


"อย่าเพิ่งรีบตัดสินใจขนาดนั้นสิ...คุณยังไม่ได้ฟังรายละเอียดจากเราเลยนะผมคิดว่ามันต้องดีกว่ามานั่งเฝ้าตึกอยู่แบบนี้"


"งั้นก็บอกมาสิว่าหน่วยของคุณทำอะไร?"


"ความลับ"


"งั้นก็ไม่มีอะไรต้อง..."


"แล้วถ้าเป็นเรื่องของ R252ล่ะ...จะยอมฟังรึเปล่า?"


ใบหน้าสะสวยเบิกตากว้างทันทีที่ได้ยินแบบนั้นในเมื่อR252คือรหัสลับประจำตัวของหมอนั่น!...คนที่ทำให้หน่วยของเธอต้องถูกยุบ!


รีไวล์!!...


"ยินดีต้อนรับสู่หน่วยสาม"


มือใหญ่ยื่นออกมาตรงหน้าเธอและแทบจะไม่มีอะไรให้คิดมากอีกต่อไป มือกดวางสายจากลูกน้องเก่าทั้งๆที่ได้ยินเสียงร้องห้ามอย่างเอาเป็นเอาตายแต่เธอกลับยื่นมือออกไปคว้ามือใหญ่ข้างนั้นเอาไว้


ไม่มีอะไรต้องให้คิดอีกต่อไป...แค่หมอนั่นเท่านั้นที่ไม่ว่ายังไง!...



เธอถูกพาตัวออกมานอกกรุงโตเกียวเลาะชายฝั่งมาที่อาคารสามชั้นริมทะเลทั้งตึกมีคนอยู่ทั้งหมดเพียงห้าคนและตอนนี้ก็รอเธอกับคนที่พาเธอมาอยู่ในห้องเรียบโล่งไม่มีโต๊ะไม่มีเก้าอี้กันพร้อมหน้า ไม่จำเป็นต้องแนะนำตัวกันให้ยุ่งยากเมื่อประวัติของทั้งห้าคนอยู่ในมือของเธอเรียบร้อยแล้วและเธอก็มั่นใจว่าทั้งห้าคนก็มีประวัติของเธอเช่นเดียวกัน ไล่จากขวาไปซ้ายคือหญิงสาวที่สวมแว่นหนาเตอะผู้มีความเชี่ยวชาญหลายๆด้านจนไม่คิดว่าจะรวมอยู่ในมนุษย์ที่หน้าตาคล้ายผู้ชายคนนี้ คุณฮันซี่ ถัดไปคือมิเกะมือขวาของหัวหน้าหน่วยและไรเนอร์ ชาช่า แอนนี่ ตามลำดับ


นับจากวินาทีนี้เป็นต้นไป...คนพวกนี้คือเพื่อนร่วมงานของเธอ...


"เริ่มเลยฮันซี่"


จบประโยคภาพโฮโลแกรมก็ฉายภาพของเด็กหนุ่มคนหนึ่งขึ้นมานั่นมันยังไม่ทำให้คิ้วเรียวถึงกับขมวดจนเป็นปมเท่ากับคนที่ยืนอยู่ข้างๆ


"เราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่รัสเซีย สายของเรารายงานมาว่าเกิดการปะทะกันของผู้ชายคนนี้กับกองทหารของรัสเซียที่วลาดิวอสตอก...คงไม่ต้องเดานะว่าผลเป็นยังไงเพราะตอนนี้ผู้ชายคนนี้กำลังมุ่งหน้ามาที่ญี่ปุ่น"


"...!?..."   เธอได้แต่พยายามตีสีหน้าให้นิ่งเอาไว้ ไม่รู้จะพูดอะไรหรือถามอะไรออกไปดี


"พูดอะไรบ้างสิ...เธอก็รู้ว่าพวกเราไม่เคยเห็นหน้าR252...นั่นใช่เค้ารึเปล่าล่ะ?"


คนที่ถามประโยคนี้ออกมาคือหญิงสาวร่างเล็กที่ยืนอยู่ข้างๆกัน ตอนนี้ เลออนฮาร์ด ดูเหมือนเธอจะไม่ถูกชะตากับผู้หญิงคนนี้เอาซะเลย...และนั่นมันเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอเลือกที่จะไม่ปริปากพูดอะไรออกไป


"แต่เทียบกับดัชนีมวลกายแล้วมีความเป็นไปได้ถึง90%ที่ผู้ชายคนนี้จะเป็นคนๆเดียวกันกับR252และเด็กคนนี้อาจจะเป็นภารกิจในครั้งนี้ของหมอนั่น"


"ลักพาตัว?"   แต่ความสงสัยที่มีมากกว่าก็ทำให้เธอยอมเปิดปากพูดออกไปจนได้และมันก็เปรียบเสมือนกับยอมรับกรายๆว่าผู้ชายคนนั้นคือR252 จริงๆ


"อาจจะเป็นการคุ้มครองมากกว่า...อย่างที่บอกไปว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นที่รัสเซีย"


เอลวิน สมิทธพูดเสริมขึ้นมาทั้งๆที่สีหน้ายังเรียบเฉยแต่ทุกคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ต่างก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าภายใต้ความเรียบเฉยนั่นกำลังคิดอะไรที่ซับซ้อนเกินกว่าจะคาดเดาอยู่แน่ๆ


"แล้วอะไรล่ะ?"


"พวกเราก็อยากรู้เหมือนกัน...สายที่ส่งไปถูกเก็บเรียบระบบความปลอดภัยซับซ้อนถึง9ขั้นแค่แหย่เท้าเข้าไประบบก็ล่มไม่เป็นท่าทันที...อย่างเดียวที่ทำได้ในตอนนี้คือต้องรู้ให้ได้ว่าเด็กนั่นเป็นใครน่าจะรู้ผลพรุ่งนี้สายๆล่ะนะ"


"ทำไมถึงเป็นพรุ่งนี้ล่ะ?"


"เพราะระบบของชั้นรวนอยู่น่ะสิ...หลังจากลองพยายามเป็นรอบที่ร้อยกว่า"


"งั้นแผนคืออะไร...ให้จับตัวหมอนั่น?"


"ชิงตัวเด็กคนนี้มาต่างหาก"   คิ้วเรียวได้แต่ขมวดจนเป็นปม...ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าหัวหน้าหน่วยคนนี้กำลังคิดอะไรทั้งๆที่เธอมาที่นี่เพราะอยากจับตัวหมอนั่นยัดเข้าตารางแท้ๆ..แต่ให้ชิงตัวเด็กนั่นมามันจะอันตรายกว่ารึเปล่านะ?


เพราะรีไวล์จะปกป้องภารกิจยิ่งกว่าชีวิตตัวเองซะอีก...

.
.
.
.
.
.
.
.
.
....Tobecontinue!.....



1 ความคิดเห็น:

  1. มิคาสะมาแล้วววว!!!

    ต้องตามล่าคนเตี้ยแบบไม่คิดชีวิตแน่ๆๆ!!
    ได้โปรดเถิดเขากำลังมุ้งมิ้งกัลลล~~~

    ตอบลบ