Attack on titan Au.Fic [Levi x Eren] Black Lies : 06
:Fanfiction Attack on titan
:Drama,Action-Sci-Fi
:PG-15
คำเตือน :บทความต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชายหากท่านใดไม่ต้องการรับรู้กรุณากดปิดขอบคุณค่ะ
ของใช้ส่วนที่จำเป็นถูกเก็บลงไปในกระเป๋าเป้ที่เพิ่งถูกเทกระจาดออกมาด้วยฝีมือของคุณรีไวล์คนนั้น มือถือกับชุดที่เปื้อนเลือดเมื่อวานถูกโยนลงไปในกองเพลิงโดยไม่ถามความสมัครใจของเขาสักคำแต่ไม่รู้ว่าทำไมทั้งๆที่ควรจะหนีไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้วแท้ๆเขากลับยังอยู่ที่นี่?...หรือเพราะบทสนทนาเมื่อคืนเขาถึงอยู่กับคนใจร้ายคนนี้เพื่อรอวันที่อัลจะมาพาเขากลับไปอย่างนั้นรึเปล่า?
แล้วถ้ามันไม่ใช่เรื่องจริงล่ะ?....
"โฮ่...นานไปแล้วนะเจ้าเด็กเหลือขอ"
"ว่าไงนะ?"
"อะไร?"
"เมื่อกี้คุณเรียกผมว่าอะไร?"
"เด็กเหลือขอ...ทำไม?"
"ผมไม่ใช่เด็กเหลือขอ!...ผมมีชื่อนะเอเลน เยเกอร์เผื่อคุณจะความจำเสื่อม!"
"ก็เหมือนกันนั่นแหละ...ชั้นก็มีชื่อเหมือนกันเผื่อนายจะความจำเสื่อม"
"ห๊ะ?...อะไรของคุณเนี้ยผมไม่เห็นจำเป็นต้องเรียกชื่อคุณหนิ!"
"ชั้นก็เหมือนกัน" นี่เขากำลังทำอะไร?...มันใช่เรื่องมั้ยเนี้ยที่ต้องมานั่งเถียงกับเด็กนี่กะอิแค่เรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้?...ร่างสันทัดหันหลังกลับไปทั้งๆที่ยังไม่เข้าใจตัวเองแต่....
"รีไวล์!!" เด็กนั่นกลับแหกปากเรียกชื่อเขาดังลั่น?
"รีไวล์ๆๆๆๆๆ~~~" แล้วก็ตามมาอีกเป็นชุด?...นี่คิดจะกวนประสาทกันรึไงเจ้าเด็กนี่!...
"ผมจะเรียกคุณว่ารีไวล์!"
"ก็ตามใจนายสิ"
"รีไวล์!" ร่างสันทัดหันหลังเดินออกไปโดยมีเสียงเรียกกวนประสาทตามหลังไปติดๆให้อีกสองคนที่กำลังเก็บของอยู่ใกล้ได้แต่มองหน้ากันแล้วยิ้มอย่างงงๆ...หายากที่คนอย่างรีไวล์ที่พวกเขารู้จักจะไปต่อล้อต่อเถียงกับใครแบบนั้นที่ผ่านมาขนาดยิ้มพวกเขายังแทบจะไม่เคยเห็นคงจะมีแค่เอเลน เยเกอร์คนนี้ล่ะมั้งที่ทำให้หมอนั่นหลุดยิ้มและทำตัวไม่สมกับเป็นตัวเองแบบนี้ได้เพราะที่ผ่านมาถ้าใครทำให้ไม่สบอารมณ์แล้วล่ะก็อย่าหวังว่าจะได้อยู่จนเห็นแสงอาทิตย์ของอีกวันเลย!
มือบางหมุนปรับโฟกัสกล้องถ่ายรูปของตัวเองก่อนจะมองออกไปนอกกระจกอย่างคนไม่รู้จะทำอะไรยังดีที่ผู้ชายคนนี้ยอมเหลือกล้องเอาไว้ให้ไม่งั้นคงได้เซ็งตายอยู่ในรถคันนี้แน่นั่งมาตั้งแต่ตะวันยังไม่พ้นขอบฟ้าจนตอนนี้จะตรงหัวอยู่แล้วแต่พวกเขาคุยกันจนแทบจะนับคำได้คุณอิสเบลดูเหมือนจะหลับตั้งแต่รถยังไม่สต๊าดจนป่านนี้ยังไม่มีทีท่าว่าเธอจะตื่นส่วนคุณฟาลันก็มัวแต่จดจ่ออยู่กับจีพีเอสถ้าไปชวนคุยคงได้หลงทางกันพอดีส่วนคนข้างๆ.....
ร่างโปร่งแพลนกล้องกลับมาที่รีไวล์ก่อนจะซูมเข้าไปที่ใบหน้าเฉยชาแต่กลับดูหล่อเหลาแบบเกินคำบรรยายนั่น ดวงตาคู่คมที่คอยแต่จะมองเขาด้วยสายตาเย้ยหยันปิดสนิทมาตั้งนานแล้วเดาไม่รู้เลยว่าแค่พักสายตาหรือหลับไป...ทั้งๆที่ยังกอดอกไขว่ห้างอยู่ในท่าเดิมมาตั้งขึ้นรถ...หรือเหน็บกินจนขยับไม่ได้?
ไวเท่าความคิด ปลายนิ้วเรียวจิ้มไปที่ต้นแขนแข็งๆนั่นก่อนจะรีบชักกลับมาเมื่ออีกฝ่ายค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น...แค่พักสายตางั้นหรอกเหรอเนี้ย?
"มีอะไรรึเปล่า?"
"ผมอยากเข้าห้องน้ำ"
"ฟาลันแวะข้างทางให้ที"
"ไม่นะ!...ผมจะเข้าห้องน้ำไม่ใช่ข้างทาง!"
"เรื่องมากจริง...หาปั้มแวะด้วยละกัน" ถึงน้ำเสียงจะติดรำคาญแต่ชายหนุ่มก็ยังอุตส่าห์ชะโงกหน้าไปบอกคนขับรถให้
"แต่อีกไกลนะกว่าจะถึงปั้ม?"
"ผมจะทน!"
ก็เขาไม่ได้ปวดอะไรตั้งแต่แรกอยู่แล้วแค่อยากจะทำลายความน่าอึดอัดนี่ให้มันหายไปก็เท่านั้น ดวงตากลมโตเหลือบมองชายหนุ่มนิดนึงก่อนจะตัดสินใจหยิบไดอารี่ออกมาจากกระเป๋าเป้แต่ปลายปากกายังไม่ทันจะจรดลงไปมือหนาก็คว้าไปซะก่อนใบหน้ามนทำเพียงแค่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เพราะชักจะเริ่มชินกับการที่ถูกอีกฝ่ายแย่งของในมือไปตรวจหาอะไรต่อมิอะไรซะแล้ว
"คืนให้ผมเถอะ...ผมแค่จะเขียนเรื่องของตัวเองรับรองว่าจะไม่มีชื่อของคุณในไดอารี่ของผมแน่นอนผมสัญญา"
รีไวล์ยังคงกรีดหน้ากระดาษพรางกวาดสายตาสำรวจดูทุกหน้าราวกับไม่ได้ยินสิ่งที่ร่างโปร่งพูดแต่ยังไม่ทันจะถึงครึ่งเล่มเศษกระดาษอะไรบางอย่างก็ร่วงลงมาซะก่อน...
"นั่นมัน!..."
มือบางรีบคว้าเอามันมาก่อนที่ชายหนุ่มจะหยิบเอาไป มันไม่ใช่เศษกระดาษแต่เป็นนกกระดาษและมั่นใจว่าเขาไม่ใช่คนที่พับมันแน่นอน
มีเพียงคนเดียวที่ชอบทำแบบนี้...ตั้งแต่ใหนแต่ไรมันคือสิ่งเดียวที่เชื่อมพวกเขาเอาไว้ด้วยกันตลอดเวลาที่ผ่านมากว่าสิบปี บ่อยครั้งหลังจากเลิกเรียนหน้าห้องของเขาจะมีนกกระดาษวางเอาไว้เป็นประจำ
ตัวหนังสือที่เขียนเอาไว้เป็นประโยคสั้นๆว่า"รีบมานะเอเลน"ทำเอาใจดวงน้อยพองโตขึ้นมาหลังจากห่อเหี่ยวไปนาน...เพราะนี่มันลายมือของอัลไม่ผิดแน่...ใบหน้ามนดูมีความหวังขึ้นมาแทบจะทันทีที่อ่านจบแค่นี้ก็พอจะเดาออกว่าเรื่องที่เขาได้ยินเมื่อคืนมันเป็นเรื่องจริงและอัลจะต้องตามไปเอาตัวเขากลับมาแน่ๆ!
"เอ๊ะ!...คุณรีไวล์!"
มือหนาคว้าเอานกกระดาษมาคลี่ออกดูข้อความด้านในแล้วก็ได้แต่เหยียดยิ้มที่มุมปากสายตากวาดอ่านตัวหนังสือสองสามบรรทัดนั่นเหมือนกำลังนึกอะไรดีๆออก...อยากให้เขาพาเจ้าเด็กนี่ไปตามที่อยู่นั่นงั้นเหรอ?...ถ้าออกนอกเส้นทางนิดหน่อยจะเป็นยังไงนะ?...ดูเหมือนไอ้เด็กอวดดีนั่นจะขีดเส้นให้พวกเขาเดินเรียบร้อยแล้วแต่มีเหรอที่คนอย่างเขาจะยอมเป็นเบี้ยให้ใคร!...นายยังรู้จักคนชื่อรีไวล์น้อยไปไอ้เด็กเมื่อวานซืน!
"เอาคืนมานะ!"
เอเลนแย่งเอาเศษกระดาษกลับไปจนได้ดวงตากลมโตค้อนควับเข้าให้โดยไม่ทันได้สังเกตุเลยว่ารอยยิ้มอีกคนดูเจ้าเล่ห์ขนาดใหน
"562/90 asahina ikebukuro tokyo?...ญี่ปุ่นเหรอ?"
"อยากไปมั้ยล่ะพี่ชายนาย..."
"คุณจะพาผมไปใช่มั้ย?"
"อืม...เราจะไปที่นั่น"
"แล้วเราจะไปที่นั่นกันยังไงเหรอ?...ครับ" คำพูดคำจาเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเชียวนะ...ครับงั้นเหรอ?
"เราจะไปขึ้นเรือที่วลาดิวอสต๊อค"
"วลาดิ..วอสต๊อค...ด้วยรถคันนี้เหรอครับ?"
"ไม่...เราจะไปต่อรถไฟที่อีร์คุตส์" เพราะถ้าขืนขับเจ้ากระป๋องคันนี้ไปชาตินี้คงไม่ถึงกันพอดี อีกอย่างถ้าต้องแวะโน่นแวะนี่บ่อยๆมีแต่จะเป็นจุดสนใจซะเปล่าถึงพี่ชายของเจ้าเด็กนี่จะบอกว่าปูทางเอาไว้ให้แล้วก็เถอะแต่มันคงไม่ได้ราบรื่นขนาดนั้นเมื่อคนที่พวกเขาต้องปะทะด้วยไม่ใช่แค่คนขององค์กรแต่รวมถึงกองทัพกับรัฐบาลของประเทศนี้ด้วยต่างหาก
"ไซบีเรียฝั่งตะวันตก?....ผมเคยอยู่ที่ไซบีเรียมาก่อนแต่เป็นฝั่งตะวันออกนะที่โอมียาคอนที่นั่นฤดูหนาวตั้งแปดเดือนแน่ะแต่ผมจำไม่ได้หรอกพ่อเล่าให้ผมฟังอีกทีน่ะ"
"ชั้นรู้"
"รู้ว่าผมเคยอยู่ที่นั่นน่ะเหรอ?"
"รู้ว่าที่โอบียาคอนหนาวจนติดลบห้าสิบ"
"ช่วงเดือนธันวาจะติดลบมากที่สุดถึง67.7องศาเชียวนะ...ผมคิดไม่ออกเลยว่าผมอยู่ที่นั่นได้ยังไง"
"....." เขาทำเพียงแค่ลอบมองใบหน้าด้านข้างของอีกฝ่ายที่จู่ๆก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย...คิดว่าจะต้องถูกซักเรื่องนั้นอีกแท้ๆแต่ดูเหมือนจะลืมไปแล้ว...งั้นก็คงแค่อยากจะหาเพื่อนคุย?
"แล้วนายไม่คิดจะหนีรึไง?...ชั้นกำลังลักพาตัวนายอยู่นะ??"
"ผมจะไปกับคุณ...ก็ถ้าพี่ชายผมต้องการแบบนั้น"
"ก็ดี..."
หึ!...เอะอะก็พี่ชายเอะอะก็อัลฟาเดี๋ยวนายจะได้รู้ถึงความเจ็บปวดที่แท้จริง...อีกไม่นานเกินรอหรอกเอเลน เยเกอร์!
ก็บอกแล้วว่าพวกนายรู้จักชั้นน้อยไป!...
พวกเขามาถึงอีร์คุตส์ก็ตอนที่ตะวันลับขอบฟ้าไปแล้วโรงแรมเล็กๆเพียงไม่กี่ดาวคือที่ๆพวกเขาเลือกใช้เป็นที่พัก ห้องเล็กๆกับพัดลมเพดานเก่าๆตัวหนึ่งส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดจนไม่อาจข่มตาหลับลงได้ ใบหน้ามนยันตัวเองลุกขึ้นมานั่งถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างไม่รู้จะทำยังไง
พวกเขาแยกกันนอนห้องละสองคนแน่นอนว่าเขาพักห้องเดียวกันกับผู้ชายคนนั้นแต่กลับเหลือเพียงเขาที่อยู่ในห้องเพียงคนเดียวผู้ชายคนนั้นหายไปตั้งแต่หาอะไรมาให้เขากินและยังไม่กลับมาอีกเลย รู้สึกสงบก็ดีอยู่อย่างแต่มันกลับรู้สึกเหงาชอบกลที่ต้องอยู่คนเดียวแบบนี้
สองขาพาตัวเองลุกออกจากห้องไปเมื่อในใจกำลังรู้สึกสับสนเป็นห่วงคนที่ไม่รู้ว่าจะได้เจอหน้ากันอีกเมื่อไหร่อย่างบอกไม่ถูก ที่ๆต้องไปคือโตเกียวแต่กว่าจะถึงตอนนั้นต้องใช้เวลากว่าสองเดือนเชียวนะเพราะต้องนั่งเรือจากวลาดิวอสต๊อตไปเทียบท่าที่อาคิตะใหนจะต้องเดินทางจากอาคิตะไปโตเกียวอีก...คาดเดาไม่ได้เลยว่าจะได้เจอกับอัลตอนใหน ใบหน้ามนเงยขึ้นไปมองท้องฟ้ามืดสนิทถึงจะเป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิแต่ดูเหมือนก้อนเมฆจะหนาจนแทบจะมองไม่เห็นดาว
นอกตัวโรงแรมอากาศเย็นจนรู้สึกหนาวขึ้นมานิดๆ อีร์คุตส์มีผู้คนเดินเพ่นพ่านหนาตากว่าเมืองที่เขาอยู่มากทั้งๆที่ปาเข้าไปตั้งค่อนคืนแล้ว
ความรู้สึกที่แตกต่างทำให้ริมฝีปากเผยยิ้มบางๆที่ไม่เห็นพวกทหารเดินเพ่นพ่านไปรอบเมืองเหมือนที่นั่น
แต่ความสงบพลันหายไปในเวลาเพียงไม่กี่วินาทีที่สายตาเหลือบไปเห็นร่างที่คุ้นตาเข้า
ผู้ชายคนนั้น?...
ร่างสันทัดเดินออกมาจากตึกใกล้ๆกับที่ๆพวกเขาพักพร้อมกับผู้หญิงคนหนึ่ง ทั้งกระโปรงที่สั้นเต่อและฟิตเปรี้ยกับเสื้อผ้าน้อยชิ้นไม่ต่างจากใส่แค่ยกทรงแบบนั้นทำให้เข้าใจได้ไม่ยากว่าเธอคงจะเป็น....
ที่หายหัวไปตั้งแต่หัวค่ำไปทำเรื่องแบบนี้เองสินะทั้งๆที่สั่งนักสั่งหนาว่าไม่ให้เขาออกไปใหน
น่ารังเกียจจริง!
ใบหน้ามนเบ้ปากก่อนจะเหลือบมองไปด้วยสายตาเหยียดๆอีกครั้งก่อนจะสะบัดหนีไปอีกทางอย่างนึกเคืองไม่หาย ร่างกายพาตัวเองเดินไปอีกทางพร้อมกับความรู้สึกขยะแขยงจนอยากจะอ้วก
เขาเกลียดผู้ชายคนนี้จริงๆนั่นแหละ!...คงจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้แล้ว!...
จากที่ทำเพียงก้าวเร็วๆสุดท้ายก็กลายเป็นวิ่งไปซะได้ รู้ตัวอีกที่ก็มาหยุดหอบแฮ่กๆอยู่หน้าสนามเด็กเล่นซะแล้ว ร่างโปร่งทิ้งตัวลงนั่งบนชิงช้าพรางปรับลมหายใจให้เป็นปรกติคิดถึงภาพที่เพิ่งจะเห็นขึ้นมาแล้วใบหน้ามนก็ได้แต่ทำหน้าย่นไม่อยากอยู่ใกล้คนสำส่อนพรรค์นั้น!...ไม่อยากร่วมทางไปด้วยกันแต่จะทำยังไงได้ล่ะ...อย่างน้อยก็คงต้องอดทนรอจนกว่าจะเหยียบแผ่นดินญี่ปุ่นแล้วค่อยหาทางอีกที....
"มาทำอะไรตรงนี้ชั้นบอกว่าห้ามออกไปใหนจำไม่ได้เหรอ?"
หนทางหนียังไม่ทันจะได้คิดแต่น้ำเสียงขี้หงุดหงิดกับเงาทะมึนก็ปรากฏซะก่อนเอเลนเบ้ปากนิดนึงก่อนจะเบือนหน้าหนีไปอีกทางแต่มือแข็งๆกลับคว้าหมับเข้าที่ต้นแขนก่อนจะออกแรงลากให้ลุกขึ้น
"ปล่อยผม!"
ร่างโปร่งสะบัดต้นแขนจนหลุดจากการจับกุมของเขาไปจนได้ก่อนจะถอยห่างออกไป
พร้อมกับแสดงท่าทางรังเกียจแบบนั้นมันอะไร? ใบหน้าคมหล่อหรี่ตาข้างหนึ่งมองท่าทางแปลกๆนั่นอย่างใช้ความคิดถึงจะพอรู้อยู่แล้วว่าเพราะอะไร...แต่เขาไม่คิดจะใส่ใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนั้นหรอก
ก็เขาเป็นผู้ชายหนิ...มันผิดมากนักรึไงถ้าจะหาที่ระบาย?
"กลับกันได้แล้วอย่ามายั่วโมโห"
"ผมจะแยกห้อง!...ผมไม่อยาก!..."
"เสียใจที่ทำอย่างที่นายต้องการไม่ได้...บอกแล้วว่าอย่ายั่วโมโหมานี่!"
จบประโยคต้นแขนผอมบางก็ถูกมือหนาคว้ามันไปอีกครั้งร่างกายเซถลาไปตามแรงลากมหาศาลอย่างช่วยไม่ได้ เพราะยิ่งออกแข็งขัดขืนมากเท่าไหร่แรงบีบที่ต้นแขนก็ยิ่งแรงขึ้นจนรู้สึกเจ็บ
"ผมเกลียดคุณ!เกลียดที่สุดไอ้ผู้ชายใจร้ายมั่วเซ็กส์!!"
"ก็ดี..."
"คุณมันไอ้โรคจิตชอบใช้กำลังกับคนที่อ่อนแอบ้ากาม!"
"อยากจะพูดอะไรก็ตามใจ...เอาให้พอใจนายเลยแต่ถ้าแหกปากอีกแม้แต่ประโยคเดียวอย่าหาว่าชั้นไม่เตือน!"
"ขู่ผมงั้นเหรอ!"
"อยากลองมั้ยล่ะ"
".....!?"
ใบหน้ามนดูเหว๋อไปในทันทีและปฏิกิริยาแบบนั้นมันทำให้คนที่ลอบมองกลับมาหยักยิ้มพอใจ...เขาไม่สนหรอกนะว่าจะถูกเกลียดจนเข้ากระดูกดำดีเสียด้วยซ้ำถ้าถึงเวลาที่ต้องส่งตัวเด็กนี่ให้คนพวกนั้นมันจะได้ง่ายขึ้น
"ผมเจ็บ!"
มือข้างที่เป็นอิสระพยายามแงะนิ้วแข็งๆออกอย่างเอาเป็นเอาตายจนอีกฝ่ายยอมผ่อนแรงบีบในที่สุดมือที่เคยบีบที่ต้นแขนเลื่อนลงไปจับที่ข้อมือของเขาโดยไม่คิดจะหันกลับมามองแต่น่าแปลกที่มันไม่ได้บีบรุนแรงอะไร?...แค่จับเอาไว้แต่ทำไมเขาถึงไม่ยอมสะบัดข้อมือหนีกันนะ?...แค่ออกแรงอีกนิดเดียวมันก็คงจะหลุดออกไปได้ไม่ยาก...
ดวงตากลมโตเหลือบมองแผ่นหลังของคนที่เดินนำหน้าด้วยความรู้สึกที่ไม่เข้าใจตัวเองทั้งๆที่ไม่กี่นาทีก่อนหน้าเขาเอาแต่ตะโกนก้องอยู่ในใจว่าเกลียดผู้ชายคนนี้อยู่หยกๆแต่ทำไมถึงไม่รู้สึกขยะแขยงที่ถูกสัมผัสเลยล่ะ?
"ผมเดินเองได้!"
คิดได้แบบนั้นเอเลนจึงรีบสะบัดข้อมือของตัวเองแทบไม่ทัน ชายหนุ่มทำเพียงแค่หันมามองนิดนึงก่อนจะเดินนำหน้าต่อไป ร่างโปร่งยอมเดินตามหลังอีกคนไปแต่โดยดีทั้งๆที่รู้สึกสับสน...ความรู้สึกที่ขัดแย้งกันตอนนี้มันคืออะไรกันแน่?
หรือแค่ถูกความดูดีที่เหมือนภาพลวงตานั่นล่อลวง?
"คุณ...นอนกับเธอเหรอ?" ใบหน้ามนถามออกไปเมื่อเก็บความสงสัยเอาไว้ไม่ไหว
"อือ..." แต่อีกคนกลับตอบออกมาง่ายๆให้สองขาหยุดชะงักอยู่กับที่
ถึงจะแค่อยากให้มั่นใจก็เถอะแต่ขามันกลับหยุดไปเองโดยอัตโนมัติ...ไม่รู้ว่าเขากำลังคาดหวังอะไรจากคำตอบเมื่อกี้แต่ร่างกายเขามันชาแปลกๆชอบกล
"ไปกันได้แล้ว"
อีกครั้งที่ข้อมือถูกลากให้เดินตามไปแต่คราวนี้กลับรู้สึกลอยๆเหมือนเท้าไม่ติดพื้นยังไงยังงั้น
เขาช็อค?...
ได้แต่ปล่อยให้ตัวเองเดินไปตามแรงลากของชายหนุ่ม...ไม่เห็นจะเสียใจหรืออะไรเลยสักนิดแต่ทำไมถึงช็อคไปก็ไม่รู้?
แจ็คเก็ตสีน้ำตาลเข้มลอยมาคลุมหัวสีน้ำตาลนุ่มละเอียดที่นั่งรออยู่ที่ลอบบี้โรงแรมก่อนที่เจ้าของๆมันจะตามมานั่งลงข้างๆกลิ่นสะอาดๆที่ลอยมาแตะปลายจมูกทำเอาใบหน้ามนได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาแต่ก็ยอมสวมมันแต่โดยดีดวงตากลมโตเสมองออกไปที่ด้านนอกแล้วก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้เพราะอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าเขาต้องออกไปใช้ชีวิตอยู่บนรถไฟสายเลื่องชื่ออย่างทรานไซบีเรียถึงสี่วันสามคืนและเป็นครั้งแรกตั้งแต่จำความได้ที่จะได้ออกไปใหนไกลๆและคงจะไม่ได้กลับมาที่นี่อีก
มือไม้แอบสั่นนิดๆจนต้องกำมันเอาไว้ที่หน้าตักตื่นเต้นก็ส่วนหนึ่งแต่ความรู้สึกกลัวมันชักจะเริ่มมีมากกว่า...
ต้องจากที่นี่ไปจริงๆแล้วมันก็รู้สึกใจหายเป็นธรรมดากว่าสิบปีที่อาศัยอยู่ในเมืองที่เต็มไปด้วยกฏเกณฑ์นั่น
"เป็นใครก็ต้องใจหายเป็นธรรมดา" เป็นคนข้างๆที่พูดสิ่งที่เขาคิดออกมา
"ไปกันเถอะ" ดูเหมือนคุณฟาลันจะส่งสัญญาณบางอย่างมาให้แล้วเดินนำหน้าพวกเขาไปพร้อมกับคุณอิสเบลแต่...คุณรีไวล์กลับพาเขาเดินแยกไปอีกทาง ข้อมือของเขายังคงถูกมือหนากร้านนิดๆนั่นจับเอาไว้แน่นก่อนจะมาหยุดที่ร้านขายหมวกและไม่นานหมวกแก๊ปสีดำก็มาอยู่บนหัวเขา คุณรีไวล์ดึงปีกหมวกลงไปอีกนิดหน่อยก่อนจะลากให้เดินตามไปอีกครั้ง...ยังคงไร้บทสนทนาระหว่างพวกเขา
คุณรีไวล์?...นึกแล้วก็ชักจะอายตัวเองที่อยากจะเรียกผู้ชายคนนี้แบบนั้นทั้งๆที่อีกฝ่ายยังไม่เคยเรียกชื่อเขาแบบจริงๆจังๆสักครั้ง
"อ๊ะ!..." เพราะมัวแต่คิดอะไรเพลินๆจึงไม่ทันได้ตั้งตัวเมื่อถูกอีกฝ่ายผลักเข้าหากำแพงใบหน้ามนมีท่าทีตกใจแต่ชายหนุ่มกลับปิดปากเอาไว้ซะก่อนที่จะทันได้ถามอะไรดวงตาจึงได้แต่เบิกกว้าง
"รถไฟคันสีเขียวทางฝั่งโน้นขึ้นสะพานลอยไปรอชั้นบนรถไฟขบวนนั้นอย่าให้พวกโค้ทสีดำนั่นจับได้เด็ดขาดอีกห้านาทีชั้นจะตามไป"
สายตากวาดมองไปตามที่ชายหนุ่มพูดแล้วก็ได้แต่เหงื่อแตกพลั่กเมื่อพวกใส่โค้ทสีดำที่ว่านั่นยืนอยู่แทบทุกซอกทุกมุมของชานชลา
"ยังไง?"
"แค่เดินไปตามปรกติอย่าวอกแวกอย่าหันกลับมาถ้าพวกนั้นเรียกวิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้รถไฟจะออกในอีกห้านาทีฟาลันกับอิสเบลรออยู่บนนั้นแล้วนายแค่ไปให้ถึงเข้าใจมั้ย?"
ใบหน้ามนพยักรับรัวๆทั้งๆที่ยังนึกไม่ว่าจะต้องทำยังไงถึงจะเดินไปไม่ให้วอกแวกหรือมีพิรุธได้ก็ตอนนี้น่ะเขาตื่นเต้นจนหัวใจมันจะกระเด็นออกมานอกอกอยู่แล้ว!
"ไป!"
จบประโยคแผ่นหลังบางก็ถูกผลักจนแทบหัวทิ่มและมันช่างเป็นสัจจธรรมที่ยังใช้ได้ไม่ว่ายุคใหนสมัยกับคำพูดที่ว่า"ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ"
ใบหน้ามนหันกลับไปมองชายหนุ่มที่เดินไปอีกทางแล้วก็ได้แต่เบิกตากว้างเมื่อเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจของผู้คนที่อยู่รอบบริเวณดังขึ้นพร้อมๆกับร่างของหนึ่งในพวกที่สวมโค้ทสีดำลอยลิ่วไปบนรางรถไฟทำให้พวกที่ระจายตัวอยู่ทั่วบริเวณวิ่งกรูเข้าไปตรงนั้นกันจนลืมสังเกตุเห็นเจ้าเด็กงุ่นง่านที่ยืนตัวสั่นอยู่กับที่อย่างเขาไปในทันที
การต่อสู้อันดุเดือดเกิดขึ้นเร็วซะจนลืมคำสั่งอันยาวเหยียดเมื่อครู่ไปซะสนิทคุณรีไวล์คนเดียวสู้พวกโค้ทดำเกือบสิบความกังวลใจทำให้ขาที่ควรจะวิ่งไปขึ้นรถวิ่งตรงเข้าไปฝั่งตรงข้ามแทนมือบางคว้าถังขยะใบหนึ่งขว้างใส่กลุ่มคนพวกนั้นและมันดันทำหน้าที่เหมือนแม่เหล็กดึงทุกสายตากลับมาที่เขาแทน?
ซวยแล้ว!
รีไวล์โหนตัวเองข้ามหัวทุกคนไปก่อนที่ทุกคนจะทันได้ขยับตัวข้อมือผอมบางถูกคว้าเข้าไว้อีกครั้งก่อนจะทุกลากให้วิ่งตามไป
"ชั้นบอกให้ไปขึ้นรถ!...ทำบ้าอะไรของนายห๊ะ!"
น้ำเสียงทุ้มเข้มฟังดูหงุดหงิดมากกว่าครั้งใหนๆตวาดกลับมาทั้งๆที่ยังลากเขาติดมือไป
"ก็คุณโดนรุมนี่ผมทิ้งคุณไว้ไม่ได้หรอก!"
"เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะเจ้าเด็กบ้า!"
ใบหน้ามนงองิกไปในทันทีที่อีกฝ่ายตวาดกลับมา ที่คุณรีไวล์พูดมันก็ถูกเขารู้ว่าตัวเองทำอะไรไม่ได้แต่ช่วยสำนึกในความมีน้ำใจของเขาบ้างไม่ได้รึไง? ถ้าตายขึ้นมาใครจะเป็นคนพาเขาไปญี่ปุ่นเล่า!
ปังๆๆๆ!!!
เสียงปืนดังไล่หลังมาติดๆชายหนุ่มลากเขาเข้าไปในซอกตึกแคบๆก่อรจะจัดแจงหมุนร่างของเขาให้หันหน้าเข้าตัวเองราวกับเขาเป็นแค่หุ่นยนต์
"กอดคอชั้นไว้"
ถึงจะรู้สึกไม่พอใจแต่เอเลนก็ยอมทำตามที่อีกฝ่ายพูดไม่นานร่างกายของพวกเขาก็ลอยวืดขึ้นไปบนอากาศขึ้นไปบนดาดฟ้าของตึก
"เราไม่ไปขึ้นรถไฟเหรอ?"
"ไปแต่ไม่ใช่ตอนนี้"
อยากจะถามมากกว่านี้แต่คงไม่ใช่เวลาที่จะมาซักไซร๊ไล่เรียงเสียงตะโกนของคนพวกนั้นใกล้เข้ามาระคนเสียงหวูดรถไฟที่กำลังจะเข้าเทียบสถานี
"คุณรีไวล์!" เสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาทางบันไดทำให้ร่างโปร่งบางกอดรอบคอชายหนุ่มแน่นขึ้นอดีนารีนดูเหมือนจะถูกกระตุ้นจนรู้สึกหายใจติดขัด
"ไม่เป็นไร"
คุณรีไวล์ตอบออกมาเพียงสั้นๆแต่แขนแข็งแรงข้างที่โอบรอบเอวของเขาเอาไว้กลับกระชับแน่นขึ้นราวกับเป็นเครื่องยืนยันว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นอ้อมแขนอันแข็งแกร่งคู่นี้จะไม่มีวันปล่อยเขาไปเด็ดขาดไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดมันทำให้รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
"คุณรีไวล์!..." เขารู้ว่าเด็กนี่กำลังกลัวแต่การที่จะหนีไปจากพวกนั้นได้ก็มีแต่จะต้องโหนตัวเองไปบนหลังคาขบวนรถไฟตอนที่มันเคลื่อนตัวออกแล้วเท่านั้นถ้าไปตอนนี้มีแต่จะทำให้ขบวนรถดีเลห์ซะเปล่าๆคนที่จะยิ่งแย่ก็คือพวกเขา
"อย่าปล่อยมือเข้าใจมั้ย?"
ปัง!!
สิ้นประโยคบานประตูดาดฟ้าก็กระเด็นจนหลุดออกจากกรอบเป็นจังหวะเดียวกันกับร่างกายของพวกเขาลอยวืดขึ้นไปบนอากาศอีกครั้งใบหน้ามนซุกลงไปกับไหล่กว้างจนแทบจะจมหายลงไปยิ่งเสียงปืนที่ดังตามหลังมายิ่งไม่กล้าลืมตาขึ้นมองอะไร
"กอดแน่นๆ!"
ร่างโปร่งบางทำตาอย่างไม่รีรอรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่กลิ้งขลุกๆอยู่บนหลังคารถไฟซะแล้วได้ยินเสียงถอนหายใจดังอยู่ที่ข้างหูแต่แรงลมที่พัดมาปะทะกับใบหน้าทำเอาไม่กล้าลืมตาขึ้นมองอะไรทั้งนั้น
"รีไวล์!" เสียงของคุณฟาลันดังอยู่ใกล้ๆแต่เพียงแค่ไม่กี่วินาทีมันก็กลืนหายไปกับสายลมยิ่งทำให้ไม่กล้าคลายอ้อมแขนออกจากรอบคอของชายหนุ่ม...
"ไม่เป็นไรแล้วน่า"
ถึงจะพูดแบบนั้นแต่เป็นตัวเขาเองที่ยังไม่ยอมคลายอ้อมแขน ยังคงกอดร่างโปร่งบางเอาไว้แน่น?...คงเพราะเจ้าเด็กที่ยังไม่ยอมละใบหน้าออกจากหัวไหล่เขาสั่นเป็นลูกนกตกน้ำอยู่ก็เป็นได้ คงจะกำลังขวัญหนีดีฟ่อกับการทำอะไรห่ามๆของเขา...น่าแปลกที่ไม่ยักกะอยากหัวเราะแต่กลับช่วยประคองร่างในอ้อมแขนลุกขึ้นนั่งพร้อมกับสำรวจว่าไม่ได้มีบาดแผลอะไร
"ไม่เจ็บตรงใหนใช่มั้ย?"
ใบหน้ามนที่ค่อยๆละออกมาจากไหล่ของเขาส่ายรัวๆก่อนจะเงยขึ้นมามองเขาด้วยสายตาระห้อยจนเขาเผลอยิ้มออกมาจนได้...ว่าจะไม่หัวเราะแล้วเชียวแต่อย่างเจ้าเด็กปากเก่งนี่ก็ทำหน้าตาแบบนี้กับเค้าเป็นด้วยความอวดดีพวกนั้นมันหายไปใหนหมดแล้วนะ?
"ไปกันเถอะ"
ห้องเล็กๆบนรถไฟที่ต้องอัดคนเอาไว้ถึงสี่ชีวิตแถมที่นั่งฝั่งหนึ่งก็ถูกคุณอิสเบลนอนเหยียดยาวซะจนเต็มพื้นที่เห็นคุณฟาลันบอกว่าเธอจะคอยเช็คหาทางหนีทีไล่ตอนกลางคืนคอยแฮคข้อมูลของพวกหน่วยข่าวกรองอะไรทั้งหลายแหล่และจะนอนตอนกลางวันเดี๋ยวอีกสักพักก็ไม่อึดอัดแล้วแต่เขาก็ยังนึกไม่ออกว่ามันจะไม่อึดอัดยังไงก็ตอนกลางคืนต้องนอนอีกตั้งสามคน?
"พวกนั้นเป็นใครเหรอครับ?"
"MI6...เคยได้ยินมั้ย?"
เขาหันไปถามคนข้างๆแต่คุณฟาลันที่นั่งอยู่อีกฝั่งให้คุณอิสเบลหนุนตักกลับเป็นคนที่ตอบคำถามเขา...อีกแล้ว...พอไม่มีเรื่องอะไรให้ระทึกผู้ชายคนนี้ก็กลับมาเป็นคนเย็นชาอีกแล้วทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ยังดูอบอุ่นมากซะขนาดนั้น?
"ครับ...เคยได้ยินแต่ในหนัง...หน่วยสืบราชการลับอะไรแบบนั้นใช่มั้ยครับแล้วพวกเขาต้องการอะไร?"
มัวสนใจคนที่เย็นชาใส่ตัวเองไปก็ไม่มีประโยชน์ใบหน้ามนจึงได้แต่ลอบถอนหายใจก่อนจะหันไปคุยกับอีกคนแทน
"คิดว่าคงจะเป็นนาย"
"ผม?"
"ใช่...แต่ชั้นไม่รู้หรอกนะว่าเพราะอะไร...คงจะอยากได้ข้อมูลงานวิจัยของพ่อนายล่ะมั้ง?"
"งานงิจัยของพ่อ?"
"เกี่ยวกับการทดลองMEน่ะ"
"พ่อเป็นคนสร้างMEขึ้นมาเหรอครับ?"
"ประมาณนั้นแต่รัฐบาลรัสเซียเป็นคนสนับสนุนเงินทุนและตั้งองค์กรแห่งมอสโคขึ้นและตอนนี้พี่ชายของนายเป็นผู้นำองค์กรนั้น"
"อัล.... เป็นถึงผู้นำเลยงั้นเหรอ?...
"แล้วที่บอกว่าอัลจะปิดฉากองค์กรล่ะครับ?"
"ไม่รู้สิ...คงไม่อยากอยู่ภายใต้อำนาจของรัฐบาลล่ะมั้ง"
"หรือไม่ก็อยากจะทำให้ตัวเองหายไปแล้วหนีไปที่ใหนสักแห่ง...กับนายแค่สองคนก็ได้"
ปากร้ายๆของคนที่เอาแต่นั่งเงียบอยู่นานสองนานเริ่มจะเหน็บแนมเขาขึ้นมาทันทีแต่แทนที่จะรู้สึกโกรธเขากลับรู้สึกอุ่นวาบขึ้นมาในใจอย่างบอกไม่ถูกได้ยินแบบนี้ยิ่งทำให้เขาตั้งตารอวันที่จะได้พบกันกับอัลอยากเห็นหน้าอยากกลับไปอยู่ด้วยกันอีกครั้ง!
ร่างโปร่งบางสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อรอบกายมืดสนิทไฟในห้องโดยสารของพวกเขาถูกปิดเอาไว้เหลือเพียงแสงสว่างจะหน้าจอแล็ปท็อปของคุณอิสเบล...ตื่นแล้วสินะ คุณฟาลันหลับไปแล้วแต่ข้างกายของเขากลับว่างเปล่า?
"อ้าวอรุณสวัสดิ์เอเลน!"
ใบหน้ามนได้แต่หัวเราะแฮะๆ...ให้กับคำทักทายอันแสนจะพิสดาร ไม่คิดจะถือสาหาความอะไร...เช้าของเธอมันก็ถูกอยู่แล้ว
"คุณรีไวล์ล่ะครับ?"
"พี่ใหญ่เหรอ?...น่าจะอยู่บนหลังคาโบกี้นี้แหละจะไปหาเหรอ?"
"ครับ"
แค่อยากรู้ว่าขึ้นไปทำอะไรบนนั้นไม่ได้อยากจะไปหาซะหน่อย!
ใบหน้ามนโผล่พ้นหลังคาโบกี้ขึ้นไปทั้งๆที่มือไม้ที่จับราวบันไดเล็กๆเอาไว้ยังสั่นไม่หายแต่ความน่ากลัวของมันดูเหมือนจะลดลงไปกว่าครึ่งหลังจากอยู่บนขบวนรถมาค่อนวันความเร็วที่รู้สึกว่ามันเร็วมาในตอนแรกดูจะเฉื่อยลงไปมากแต่เขารู้ดีว่านั่นมันแค่ความรู้สึก รถไฟขบงนนี้ยังวิ่งด้วยความเร็วร้อยกว่ากิโลเมตรต่อชั่วโมงเหมือนเดิม เงาตะคุ่มของใครบางคนที่เห็นจากแสงไฟสีส้มที่ส่องลอดช่องระบายอากาศตรงนั้นคงจะเป็นใครไปไม่ได้ เอเลนสูดลมหายใจเฮือกใหญ่เข้าปอดก่อนจะค่อยๆคลานไปนั่งข้างๆใบหน้าคมทำเพียงแค่หันมามองก่อนจะหันกลับไปสนใจความมืดมิดตรงหน้าต่อแต่มือกลับถอดแจ็คเก็ตของตัวเองยื่นมาให้เขา...คงเพราะรู้อยู่แล้วว่าลมบนนี้มันแรงและอากาศเย็นกว่าตอนกลางวันมาก...ทำเหมือนเป็นห่วงเขาแต่การกระทำบางช่วงบางตอนกลับให้ความรู้สึกที่ขัดแย้งกันตลอด
"คุณไม่ง่วงเหรอ?"
"แล้วนายล่ะ"
"ผมเพิ่งตื่น"
"งั้นเหรอ..."
"ผมถามได้มั้ย...คุณทำงานให้ใคร"
"CIA..."
คำตอบที่หลุดออกมาง่ายๆทำเอาเอเลนถึงกับอึ้งไปในทันทีเขาไม่คิดด้วยซ้ำว่าคุณรีไวล์จะตอบคำถามเขาถึงจะแค่สั้นๆแต่ก็ยังดีกว่าไม่พูดอะไรเลย
"พวกเค้าจ้างให้คุณมาเอาตัวผมไปงั้นเหรอ?"
"อืม..."
"ทำไมเหรอครับ?"
"คงจะเหตุผลเดียวกันกับพวกMI6นั่นแหละอีกอย่าง...ชั้นไม่จำเป็นต้องรู้ว่าทำไม"
"คุณจะส่งตัวผมให้กับพวกเค้า?"
"อืม"
"แล้วทำไมถึงจะพาผมไปญี่ปุ่นล่ะ?"
"พวกเค้าจะมารับนายที่นั่น"
"นั่นคือเหตุผลที่คุณช่วยผมงั้นเหรอ...แค่เอาผมไปส่งให้พวกเขา?"
"....อยากจะหนีไปมั้ยล่ะ?"
แทนที่จะตอบคำถามรีไวล์เลือกที่จะเลี่ยงมันแทนถึงจะรู้ดีอยู่แล้วว่าไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรแต่มีบางอย่างที่เขาพูดมันออกไปไม่ได้เหมือนกัน
"ผมจะหนีจากคุณ"
"ก็ดีแล้ว...รีบๆหนีไปซะถ้ามีโอกาส"
คงเป็นเพราะเหตุผลนี้สินะถึงได้ปกป้องเขาขนาดนี้...
ไม่ใช่เพราะสงสารหรือเห็นใจ...
แต่เพราะเงิน...
เอเลนค่อยๆลุกขึ้นยืนทั้งๆที่รู้สึกเบาหวิวราวกับจะลอยไปกับแรงลมขาที่กำลังจะก้าวเซไปเมื่อต้านแรงลมเอาไว้ไม่ไหวร่างกายราวกับถูกสายลมหอบลอยขึ้นไปให้ใจกระตุกวูบ
"เฮือก!"
วินาทีที่คิดว่าต้องปลิวไปกับแรงลมแน่แล้วข้อมือกลับถูกคว้าเอาไว้ร่างกายเซถลาไปตามแรงกระชากจนใบหน้าปะทะเข้ากับแผงอกแกร่งเข้าเต็มแรงร่างกายถูกกอดเอาไว้แน่นซะจนไม่อยากจะเชื่อว่ามันคืออ้อมแขนของคนที่กำลังจะเอาตัวเขาไปแลกกับเงิน ถ้าจะไม่สนใจเขาก็ช่วยอย่ามาทำดีกับเขาจะได้มั้ย!
"อยากตายรึไงห๊ะ!?"
"ก็ดีแล้วนี่ครับ...คุณจะได้เอาตัวผมไปให้พวกนั้นได้ง่ายขึ้น"
"นายไม่อยากเจอพี่นายแล้วงั้นสิ"
"ไม่มีอะไรรับประกันหนิว่าผมจะได้เจอกับอัลอีก"
"งั้นก็หนีไปซะสิ"
"ผมไปแน่...ผมต้องหนีไปแน่ๆ"
รีไวล์ลอบถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนจะละออกไปจากร่างโปร่งบางที่ยังเบือนหน้าหนีไปทางอื่น โกรธเขาอย่างนั้นสินะเจ้าเด็กนี่...ที่อุตส่าห์ปีนขึ้นมานี่เพื่อให้เขาง้อรึไงกัน?
"ขอโทษ...ที่ชั้นพูดแรงไป"
ชายหนุ่มพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงก่อนจะกดไหล่บางให้นั่งลงข้างๆอีกครั้ง
"คุณ...ขึ้นมาทำอะไรบนนี้เหรอ?"
"ดูดาว"
"แต่ฟ้าปิดแบบนี้ไม่เห็นจะสวยตรงใหนเลย"
"ก็ไม่ได้อยากจะดูทุกดวงหนิ...แค่ดวงเดียวก็พอ"
ใบหน้ามนมองตามอีกคนไปและเป็นจริงอย่างที่คุณรีไวล์ว่า...มีแค่ดวงเดียวที่ทั้งเล็กและแสงริบหรี่ราวกับกำลังจะดับไปอยู่ตรงนั้น...ริมฝีปากอิ่มเผลอยิ้มออกมาอย่างลืมตัวที่อย่างผู้ชายคนนี้ก็มีมุมโรแมนติกกับเค้าด้วย
"ขำอะไร?"
"เปล่าซะหน่อย...แค่ไม่อยากจะเชื่อว่าจะได้มานั่งดูดาวดวงเดียวกันกับคุณ"
"หึ.....ถ้าเป็นพี่ชายนายคงจะดีกว่างั้นสิ"
"แน่นอน...ต้องดีกว่าอยู่แล้ว" ถ้ากลับมาต่อปากต่อคำได้แบบนี้คงหายโกรธแล้วมั้งจะบอกว่าเป็นข้อดีของคนแบบเขาและเด็กนี่ก็ได้...ที่ความรู้สึกโกรธเศร้า เหงา หรือแม้แต่ความสุขมักจะอยู่ด้วยได้ไม่นาน แต่ถ้าต้องอยู่กับมันนานๆก็มักจะละสายตาไม่ได้เหมือนตอนนี้ที่เขาเอาแต่จ้องเด็กนี่ตาไม่กระพริบ
ใบหน้าของเขาโน้มเข้าไปใกล้แก้มใสๆนั่นจนปลายจมูกจะฝังลงไปอยู่แล้วแต่ร่างโปร่งบางกลับไม่มีทีท่าว่าจะรู้ตัว เพราะความมืดเหรอ? หรือจงใจ?
"เอ๊ะ!?..."
ลมหายใจอุ่นๆที่เป่ารดพวงแก้มทำให้ใบหน้ามนสะดุ้งน้อยๆดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยความตกใจชั่วขณะแต่แรงดึงดูดอะไรบางอย่างที่ส่งผ่านมาสะกดร่างกายให้ได้แต่แข็งทื่ออยู่กับที่ก่อนที่เปลือกตาจะค่อยๆปรือปิดลง
"อะ...."
ใบหน้ามนขยับปากจะพูดอะไรบางอย่างออกไปแต่ริมฝีปากหยักได้รูปกลับแตะลงมาเบาๆที่กลีบปากให้ร่างกายรู้สึกราวกับถูกกระแสไฟช็อต ไหล่บางถูกกดให้นอนราบไปกับหลังคาโบกี้โดยมีอีกฝ่ายตามมาคร่อมเอาไว้ใบหน้าคมหล่อเคลื่อนต่ำลงมาทุกขณะจนต้องหลับตาปี๋ไม่กล้าสบตา ไม่กล้าขยับเขยื้อน
"ชั้นง่วงแล้ว...ลงไปข้างล่างกันเถอะ"
"อ่ะ....ครับ?"
ใบหน้ามนได้แต่อ้าปากค้างกับการกระทำของอีกฝ่ายวินาทีที่คิดว่าริมฝีปากของเขาต้องถูกช่วงชิงไปแน่ๆเล่นเอาเขาหายใจแทบไม่ทั่วท้องแต่จู่ๆชายหนุ่มก็ลุกพรวดพราดขึ้นไปยิ่งทำให้เขาตกใจยิ่งกว่าซะอีก!?
นี่มันอะไรกัน??...
"อะ..อ๊าา~~....คนบ้าๆๆ!!"
มาทำให้ตกใจแล้วหนีไปแบบนี้เนี้ยนะ!?...บ้าจริงๆเลย!...
.
.
.
.
.
.
.
.
.
. Tobecontinue.....
คึหึหึ...แวะมาแปะแล้วก็จากไปค่ะ!
สุขสันต์เช้าวันแรงงานนะคะแต่บ่ายๆอิสยาต้องเข้าออฟฟิศล่ะอย่างเซ็ง5555
ว่าจะไปร่อนซะหน่อยฮือออ~~~~~
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น