26 ธ.ค. 2561

Attack on titan Fanfic.[H.B.D Levi x Eren Projects.] Signal_03



Signal.



            บทที่ : 03

          

          "ดูเหมือน ออสติน ฮาร์เปอร์ จะเป็นเด็กที่โชคร้ายที่สุดแล้วล่ะ คดีเมื่อสองปีก่อนยังปิดไม่ได้เพราะพวกเขาดันไปจอดเรือในน่านน้ำของพวกโจรสลัดน่ะ เราไม่มีวัตถุพยานอะไรเลย แถมยังอยู่นอกเขตรับผิดชอบของเราอีก"  สารวัตรฮาเนส หัวหน้าของพวกเขาพูดพลางถอนหายใจออกมายาวเหยียด

          "ถ้าเด็กนั่นมีพฤติกรรมผิดปกติทางจิต ผมจะไม่แปลกใจเลย เห็นว่าเป็นเด็กแปลกๆด้วยนี่ ใช่ไหม?"  ไนท์ ด็อกซ์ หัวหน้าสารวัตรตำรวจที่เข้าร่วมประชุมเอ่ยขึ้นมาบ้าง ก่อนจะหันหน้าไปหาเอเลนเพื่อขอความเห็นสนับสนุนคำพูดของตัวเอง และนั่นมันทำให้เส้นประสาทที่ขมับของเจ้าตัวถึงกับเต้นตุ่บๆ

          "แปลกยังไงครับ?"  ใบหน้ามนทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แล้วย้อนถามอีกฝ่ายคืนบ้าง การถูกหักหน้าเล็กๆน้อยๆ ทำให้ฝ่ายนั้นถลึงตาใส่เขาด้วยความไม่พอใจ

            "เด็กอายุสิบสองมีที่ไหน ที่ไม่เล่นกีฬา ไม่ดูทีวี เอาแต่คลุกอยู่กับหนังสือเก่าคร่ำครึกับคอม เสาร์-อาทิตย์ก็ไม่เว้น"

          "บางคนอาจไม่คิดว่าแปลกก็ได้นะครับ แต่ถ้าวัดจากมาตรฐานของคุณ เด็กคนนั้นอาจจะแปลกจริงๆก็ได้"  คนพูดประโยคนี้คือแจน กิลล์ชูไตน์ คู่หูของเขา เอเลนอมยิ้มน้อยๆ ให้กับท่าทางเหมือนคนอมแมลงวันเอาไว้ในปากของหัวหน้าสารตำรวจ ก่อนจะรีบปรับสีหน้าให้ราบเรียบตามเดิม

          "พอๆ เข้าเรื่องกันได้แล้ว ผมอยากได้ข้อสรุป เรื่องนี้ต้องจบเร็วที่สุด"  ผบ.พิกซิส ที่เป็นผู้บัญชาการสูงสุดต้องรีบปราม เพื่อไม่ให้ทุกอย่างมันเลยเถิดไปกว่านี้ เพราะระหว่างที่ทีมสืบสวนกำลังช่วยกันวิเคราะห์คดี พวกเขากลับต้องมาติดแหง่กอยู่ในห้องประชุมตลอดทั้งช่วงเช้า โดยที่ยังหาข้อสรุปอะไรเป็นชิ้นเป็นอันไม่ได้สักอย่าง ทุกคนจึงเริ่มไม่เป็นสุขนัก

          สามสิบชั่วโมงหลังเกิดเหตุฆาตกรรมครอบครัวของ ไบรอัน โครว์  พวกนักข่าวอยากเล่นเรื่องนี้มากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเช้าเอเลนตื่นมาเจอพาดหัวข่าวตัวโต 'เหตุสยองใจกลางเมืองหลวง' ตามด้วยภาพผู้ต้องสงสัยหมายเลขหนึ่งของพวกเขา อลองโซ่ ดิแอช แฟนหนุ่มแม่บ้านประจำครอบครัวโครว์ที่หายตัวไป ภาพนั้นเป็นภาพเก่าซึ่งเจ้าหน้าที่ถ่ายไว้ ตอนเขาถูกจับข้อหามียาเสพติดในครอบครองที่โคลัมเบีย 

          หน้าตาของ ดิแอช ดูเหมือนคนโหดเหี้ยมซะด้วยจึงง่ายต่อการเข้าใจผิดอย่างไม่ยากเย็นอะไรนัก ทั้งที่พวกเขายังไม่มีหลักฐานใดบ่งบอกว่า ดิแอช เป็นคนทำ เห็นได้ชัดว่าการรั่วไหลของข้อมูลในกรมตำรวจแห่งนี้มันเข้าขั้นวิกฤติจนเกินเยียวยาแล้ว

          "เราหวังพึ่งคำให้การของ ออสติน เกี่ยวกับคดีของ อลองโซ่ ดิแอช ไม่ได้หรอกนะครับ เขาไม่เห็นหน้าคนร้าย"

          "นายยังมีเวลาซักเด็กนั่นอีกเยอะหมวดเยเกอร์ เขาต้องเห็นอะไรที่พอจะช่วยให้การในชั้นศาลได้บ้างล่ะน่า"  ไนท์ ด็อกซ์พูด

          "ไม่! ผมจะไม่ยอมให้ออสตินขึ้นในการในศาลเด็ดขาด เขายังเด็กเกินไป ผมจะหาวิธีอื่น!"  เอเลนแย้งเสียงแข็ง เขารับไม่ได้ ไม่มีทางรับได้เด็ดขาดถ้าออสตินจะต้องไปถูกทนายของฝ่ายจำเลยรุมทึ้งในชั้นศาล สภาพจิตใจของเด็กชายบอบช้ำเกินไป หากถูกกระทบอีกเพียงนิดเดียวเด็กคนนั้นต้องแตกสลายเป็นแน่

          "ถ้าอย่างนั้นก็รีบๆหาเข้าสิ! นายก็รู้ว่าเราถูกเบื้องบนกดดันมานี่"

          "งั้นผมขอตัว"  พูดจบใบหน้ามนก็ลุกเดินออกมาจากห้องประชุมไปทั้งอย่างนั้น แต่ความจริงเอเลนเห็นแล้วว่าโคนี่ยังอยู่และแน่นอนว่าหมอนั่นจะอยู่จนจบการประชุม เขาจึงไม่ห่วงว่าตัวเองจะพลาดเรื่องอะไรไป 


          "เอเลน! ประวัติของ ไบรอัน โครว์มาแล้วนะ เดาสิหมอนั่นเคยเป็นที่ปรึกษาทางการเงินของใคร"  แจนที่วิ่งตามเขาออกมาจากห้องประชุมเช่นกัน มีสีหน้าที่ดูมี ความหวังขึ้นมาเล็กน้อย เมื่ออีกฝ่ายได้อ่านรายงานที่ลูกทีมของเขาส่งมาทางอีเมล

          "เขาทำงานให้ใครบ้าง?"  ทั้งคู่เดินไปคุยไป และค่อยๆลดน้ำเสียงลงจนแทบจะกลายเป็นกระซิบกระซาบ เพราะไม่ต้องการให้เรื่องนี้รั่วไหลไปถึงมือนักข่าว

          "ไม่ใช่ใครบ้าง แต่เคยทำงานให้คนแค่คนเดียว ตระกูล อัคเกอร์แมน"

          "มาเฟีย"  ขาทั้งสองคู่หยุดยืนอยู่กับที่อย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย ก่อนจะยืนจ้องตากันอยู่อย่างนั้นโดยไม่มีใครปริปากเอ่ยอะไรออกมา

          "อ่อ คะ...คือ ฉันว่าเราคงต้องไปคุยกับคนพวกนั้น"  เป็นแจนที่เริ่มขยับตัวก่อน ฝ่ายนั้นดูประหม่าอย่างเห็นได้ชัดจนทำให้ใบหน้ามนขมวดคิ้วมุ่น ไม่เข้าใจอาการแปลกๆของอีกฝ่าย

          "แน่นอน แต่ฉันต้องแวะไปหาออสตินก่อน มีของจะให้เขา แล้วเจอกันที่ 'อัคเกอร์แมน คอเปอร์เรชั่น' ตอนบ่ายโมงก็แล้วกัน"

          "โอเค ฉันจะเอากระสุนที่อาร์มินผ่าออกจากศพของคิมมี่ไปส่งที่ห้องแล็ป แล้วเจอกันนะ"

          ใบหน้ามนพยักหน้ารับยิ้มๆ ก่อนจะพรูลมหายใจออกมายาวเหยียดหลังจากแจนแยกตัวไปแล้ว มือบางล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อโค้ท แล้วกุมตลับแว่นตาของออสตินที่อยู่ในนั้นเอาไว้แน่น


          เอเลนขับรถไปที่บ้านอุปถัมภ์หลังใหม่ของออสติน เพื่อเอาแว่นตาไปคืน ตอนนี้เด็กชายอยู่กับคู่สามีภรรยาสูงวัย ทั้งสองรับอุปการะเด็กมาแล้วหลายคน และมีประสบการณ์หลายปีในการดูแลเด็กที่ผ่านวิกฤติในชีวิตมาอย่างหนัก

          ทว่าในวันนั้น ขณะที่เอเลนเดินออกจากบ้านหลังดังกว่า สายตาของออสตินที่มองมาที่เขา มันทำให้เอเลนรู้สึกหนักอึ้งและเวทนาในเวลาเดียวกัน ออสตินมองตรงมาราวกับเขาเป็นคนเดียวที่จะช่วยเจ้าตัวได้ แต่เขากลับทิ้งอีกฝ่ายไว้กับคนแปลกหน้าทั้งที่เขาให้สัญญากับเด็กชายยังไม่ทันข้ามวัน

          เพราะแบบนั้นตอนที่มาถึง การพบกันของเขากับออสตินจึงไม่ราบรื่นเอาเสียเลย เอเลนขึ้นไปหาเด็กชายที่ชั้นสอง แม้เจ้าตัวจะเปิดประตูห้องให้เขาด้วยตัวเอง แต่ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นกลับเสมองไปทางอื่นไม่ยอมสบตา ก่อนร่างผอมบางนั่นจะนั่งลงอ่านหนังสือที่โต๊ะตรงหน้าต่างตามเดิมแล้วไม่หันกลับมามองเขาอีกเลย

          เอเลนยืนมองไปที่หน้าต่างชั้นสองของบ้านอุปถัมภ์ หลังจากที่เจ้าตัวออกมาแล้วกว่าสิบนาทีได้ เขารู้ว่าเด็กชายยังคงนั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงนั้น แต่ตอนที่เอาแว่นตาคืนให้เด็กชายไม่ยอมพูดกับเขาสักคำ เจ้าตัวกำลังแสดงออกด้วยการกระทำว่ากำลังโกรธ โชคยังดีที่ออสตินยังไม่ถึงกับเกลียดเขา เพราะตอนที่เอเลนสวมกอดเด็กชายตอนบอกลา เจ้าตัวยังหันกลับมากอดตอบ แถมยังกอดเอาไว้แน่นเสียด้วย

          ถึงแม้จะเหมือนเขากำลังพูดอยู่คนเดียว แต่เอเลนก็ใช้โอกาสนี้บอกเหตุผลทุกอย่างให้เด็กชายฟัง เหตุผลที่เขายังไม่ทันได้บอกเมื่อวันก่อน ออสตินเป็นเด็กฉลาดและยอมเข้าใจ แม้จะยังไม่ยอมปริปากพูดก็ตาม เขาโบกมือน้อยๆให้กับหน้าต่างบานนั้น จังหวะนั้นเองที่หน้าต่างห้องถูกเปิดออก

          "คุณจะกลับมาอีกใช่มั้ยเอเลน?"

          "แน่นอน! ฉันจะแวะมาบ่อยๆ อยากได้อะไรเป็นพิเศษไหม?"  เอเลนตะโกนตอบกลับด้วยรอยยิ้ม รู้สึกใจชื้นขึ้นมาเล็กน้อยที่ในที่สุดออสตินก็ยอมพูดกับเขาเสียที มองเห็นเด็กชายส่ายหน้าหลุนๆ ก่อนจะรีบปิดหน้าต่างหนีเขาไป


          ตึกของกลุ่มบริษัท 'อัคเกอร์แมน คอเปอร์เรชั่น'  ตั้งสูงตระหง่านอยู่ใจกลางกรุงเบอร์ลิน เอเลนพอรู้มาบ้างว่าพวกเขาทำเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ และสินค้าอุปโภคบริโภค พวกเขาครองพื้นที่ตลาดที่คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ40% ของประเทศ และรู้ด้วยว่ามีคำสั่งจากเบื้องบนให้จับตามองพวกเขาเอาไว้ แต่เอเลนไม่ได้รับผิดชอบในเรื่องนี้จึงรู้อะไรเกี่ยวกับพวกเขาไม่มากนัก

          "เอเลน!"

          ตอนที่ก้าวขาลงจากรถ เอเลนก็เจอคู่หูของเขายืนรออยู่ก่อนแล้ว อีกฝ่ายตรงดิ่งมาหาแทบจะทันที เจ้าตัวจึงกระทุ้งศอกใส่สีข้างชายหนุ่มเบาๆ

          "ตรงเวลาไปรึเปล่านาย ฝันไปเถอะถ้าคิดว่าฉันจะรู้สึกผิดเพราะมาสายไปสิบนาทีน่ะ"

          "เรื่องนั้นไม่ได้หวังจากนายอยู่แล้วเจ้าบ้า แต่จะรู้สึกบ้างก็ดีนะ"

          "ไม่แน่นอน!"

          แจนยักไหล่แล้วเบ้ปาก ราวกับไม่ได้คาดหวังคำตอบอะไรจากเขาอยู่แล้ว ใบหน้ามนจึงส่ายหัวยิ้มๆ ก่อนจะผายมือให้ฝ่ายนั้นเดินนำหน้าไป เพราะแจนเป็นคนรับผิดชอบคดีนี้ เอเลนจึงไม่อยากข้ามหน้าข้ามตาอีกฝ่าย แต่จะคอยทำหน้าที่เป็นฝ่ายสนับสนุนที่ดีตามแบบที่คู่หูควรจะเป็น

          "ผมเจ้าหน้าที่แจน จากหน่วยอาชญากรรมส่วนนี่ เอเลน เยเกอร์คู่หูผม ที่ผมโทรมาก่อนหน้านี้จำได้ใช่มั้ยครับ?"  แจนชูตราประจำตัวของตัวเองให้พนักต้อนรับที่หน้าเคาน์เตอร์ดูพร้อมแนะนำตัวเองตามระเบียบของกรมตำรวจ ดูเหมือนอีกฝ่ายคงโทรมาคุยกับพนักงานหญิงคนดังกว่าก่อนหน้านี้แล้ว

          "อ๋อ จำได้ค่ะ หมวดแจน ฉันแจ้งเรื่องของคุณให้บอสทราบเรียบร้อยแล้ว แต่ตอนนี้บอสติดประชุมผู้ถือหุ้นอยู่น่ะค่ะ จะเป็นไรไหมถ้าจะรบกวนให้พวกคุณรอสักครู่ เพราะถ้าไม่ติดปัญหาอะไรคิดว่าอีกราวๆ ครึ่งชั่วโมงก็น่าจะประชุมเสร็จแล้วล่ะค่ะ"  พนักงานสาวคนดังกล่าวปิดสมุดตางรางนัดในมือลง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาแจนด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ ดูเธอไม่ได้มีความกังวลเลยแม้แต่น้อย ราวกับการที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินเข้าออกบริษัทเป็นเรื่องปรกติก็ไม่ปาน

          "พวกผมรอได้ครับ"  แจนพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ

          "ขอโทษในความไม่สะดวกนะคะ ฉันจะพาพวกคุณไปรอที่ห้องรับรอง เชิญทางนี้ค่ะ"


          "ดูเป็นมืออาชีพดีนะพนักงานต้อนรับของที่นี่"  แจนเอ่ยขึ้นหลังจากพนักหญิงคนดังกว่าเดินออกจากห้องรับรองไปแล้ว

          "หล่อนพกปืนด้วยนี่ ฉันเห็นตอนที่เธอกดลิฟท์"  ใบหน้ามนพึมพำเบาๆ ขณะใช้ปลายนิ้วเคาะโต๊ะกระจกอย่างพยายามใช้ความคิด ถึงแม้ว่าเขาจะเห็นไม่ถนัดนัก แต่ซองหนังสีดำที่เหน็บอยู่ที่เอวของเธอต้องเป็นปืนไม่ผิดแน่  "คงไม่ใช่พนักงานต้อนรับธรรมดา นายได้อะไรมาบ้าง?"

          "ไม่เลย ดูเหมือนไบรอัน โครว์ กับพวกเขาจะมีสัมพันธ์แน่นแฟ้นต่อกัน"  แจนตอบ ชายหนุ่มยักไหล่อย่างหมดหนทาง ข้อมูลที่ลูกน้องส่งมาให้ทำไม่ได้ช่วยอะไรพวกเขามากนัก แจนยื่นแฟ้มในมือให้เอเลนอ่านบ้าง ใบหน้ามนกวาดสายตาอ่านข้อมูลในนั้น พลางพยายามมองหาจุดที่ผิดสังเกตุหรืออะไรก็ตามที่พอจะใช้เป็นมูลเหตุจูงใจ

          "อาจแค่ฉากบังหน้าก็ได้"

          "ก็จริง พวกเขาเป็นมาเฟีย อาจจะทำอะไรที่เราคาดไม่ถึงก็ได้นี่นะ"

          "ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกผู้หมวด ผมเสียใจนะที่คุณมองเราในแง่ลบขนาดนั้น"

          เสียงทุ้มของใครบางคนดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้ทั้งคู่ลุกขึ้นยืนโดยอัตโนมัติก่อนจะหันหน้าไปทางต้นเสียงดังกล่าวพร้อมกัน เจ้าของเสียงคือชายหนุ่มรูปร่างสัดทัด อีกฝ่ายสวมชุดสูทสามชิ้นสั่งตัดของดีไซน์เนอร์ชื่อดัง แจนรู้ได้ในทันทีว่าคนตรงหน้าคงเป็นผู้บริหารระดับสูงของที่นี่ ต่างจากเอเลนที่เอาแต่จ้องฝ่ายตรงข้ามนิ่ง ด้วยสีหน้าที่เดาอารมณ์ไม่ออก

          น้ำเสียงแบบนั้น เขาเคยได้ยินมาก่อน ใช่แล้วชายหนุ่มที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้ คือคนเดียวกันกับที่เขาเจอในบาร์เมื่อคืนนั่นเอง 'รีไวล์'

           เช่นเดียวกันกับผู้มาเยือนที่ดูเหมือนจะชะงักไปครู่หนึ่งตอนที่พวกเขาเผชิญหน้ากัน ชายหนุ่มหรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วมองตรงมาที่เอเลนแล้วยิ้มบางๆตรงมุมปาก แม้จะรู้สึกหน้าม่านไปไม่น้อยที่ถูกจับได้ว่าพวกเขานินทาฝ่ายนั้นในระยะเผาขน แต่แจนก็ยังเรียกสติของตัวเองกลับมาได้ทันแล้วชูตราประจำตัวให้ฝ่ายตรงข้ามดูพร้อมกับแนะนำตัว

          "สวัสดีครับผมเจ้าหน้าที่แจน จากหน่วยอาชญากรรม ส่วนนี่เอเลน เยเกอร์คู่หูของผม ไม่ทราบว่าคุณคือ..."

          "ผม รีไวล์ อัคเกอร์แมน ประธานบริษัทของที่นี่ ยินดีที่รู้จักผู้หมวด"

          พวกเขาจับมือทักทายกันตามมารยาท ก่อนชายหนุ่มเจ้าของบริษัทจะเดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามแล้วบอกให้ทำตัวตามสบาย

          "คุณรีไวล์ ผมคิดว่าคุณคงพอจะทราบว่าเรามาที่นี่เพราะเรื่องอะไร หวังว่าจะได้รับความร่วมมือนะครับ"

           "ผมรู้ ผมเห็นจากข่าวเมื่อเช้า"  ชายหนุ่มตอบ แต่แจนสังเกตุเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ได้มองหน้าเขาด้วยซ้ำ เขาชำเลืองไปตามสายตาของฝ่ายนั้น พบว่ารีไวล์กำลังจ้องตากับคู่หูของเขาอยู่ พอเห็นความไม่ชอบมาพากลตรงหน้าแล้ว เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังพลาดเรื่องสำคัญบางอย่างไปเป็นแน่แท้ ชายหนุ่มได้แต่ข่มความสงสัยไว้ในใจแล้วเปิดประเด็นทันที

          "งั้นผมขอเริ่มเลยนะครับ ผมรู้มาว่าคุณโครว์เคยเป็นที่ปรึกษาทางการเงินของคุณถูกไหมครับ?"

          "ใช่ เขาเคยเป็น"

          "เขาเคยมีเรื่องหมางใจกับใครในที่ทำงานรึเปล่าครับ?"

          "เท่าที่ผมรู้ ไม่มี"

          "แต่ผมสืบรู้มาว่า คุณกับเขาความคิดเห็นไม่ตรงกันในหลายเรื่องใช่ไหมครับ?"

          "ความขัดแย้งทางธุรกิจ ก็มีบ้างที่เราคิดไม่ตรงกัน"  รีไวล์ตอบคำถามของแจน ด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น และแน่นอนว่าสายตาคมกริบคู่นั้นยังมองตรงไปที่เอเลนเช่นเดิม พอเหลือบมองไปที่คนข้างๆ พบว่าเอเลนละสายตาจากอีกฝ่ายแล้ว และจดจ่ออยู่กับสมุดพก ปากกา และแฟ้มข้อมูลในมือแทน แจนรู้ว่าเจ้าตัวเองก็คงรู้สึกถึงมัน แต่เขากลับเป็นฝ่ายที่อึดอัดแทนอย่างบอกไม่ถูก เขาเอาเหลือบแต่มองฝ่ายโน้นที ฝ่ายนี้ที จนดูเหมือนการสนทนาของพวกเขาจะหยุดชะงักไปเสียดื้อๆ

          "คุณโครว์ ลาออกเพราะสาเหตุนี้รึเปล่าครับ? เพราะเขามีเรื่องกับคุณเลยถูกกดดัน?"  เอเลนเป็นคนถามประโยคนี้ เมื่อคู่หูของเขานิ่งไป เขารู้ว่าแจนไม่ได้เปิดโอกาสให้เขาเป็นฝ่ายซักถามบ้าง และรู้ด้วยว่าสาเหตุที่อีกฝ่ายชะงักไปแบบนั้นเป็นเพราะเขาเอง ใบหน้ามนเงยขึ้นสบตากับคนถูกถามอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะความอวดเก่งหรืออวดดีอะไรเทือกนั้น แต่เพราะต้องการสังเกตุความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ สีหน้า และแววตาของคู่สนทนาว่าอีกฝ่ายกำลังพูดความจริงหรือโกหกอยู่กันแน่

          "เป็นคำถามที่ดีคุณนักสืบ เหมือนผมกำลังตกเป็นผู้ต้องสงสัยอยู่ใช่ไหม?"  รีไวล์ตอบยิ้มๆ เอเลนมองไม่เห็นความลังเลใดๆ จากใบหน้าของชายหนุ่ม ต้องยอมรับคนว่าตรงหน้าเก็บซ่อนอารมณ์และความรู้สึกเอาไว้ภายใต้ใบหน้าหล่อเหลานั่นได้อย่างดีเยี่ยม

          "ตามรายงานของผม คุณกับเขาทะเลาะกันค่อนข้างรุนแรงในห้องประชุม อาจทำให้คุณเสียหน้าก็ได้"

          "ก็แค่ความคิดเห็นของเราไม่ตรงกัน มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้"

          "แต่ภาษาของผมเรียกมันว่าเหตุจูงใจ"

          "ฉันบอกไปแล้วว่าเราไม่ได้ป่าเถื่อนขนาดนั้น"

          "กับคนที่ให้พนักงานต้อนรับพกปืน เชื่อยากหน่อยนะครับ"  คำพูดของเขาทำให้คนฟังหลุดหัวเราะออกมาเสียงหนึ่ง แจนที่รอจังหวะอยู่นานจึงรีบใช้โอกาสนี้เสริมทัพทันที

          "เธอมีใบอนุญาติพกปืนใช่ไหมครับ?"

          "รู้อะไรไหมผู้หมวด ผมจะตอบทุกเรื่องที่พวกคุณอยากรู้ แต่ผมขอคุยกับนักสืบ เยเกอร์ตามพังได้หรือเปล่า?"

          แต่ดูเหมือนเขาจะทำลายโอกาสของตัวเองพังครืนลงในพริบตา การที่ชายหนุ่มตรงหน้ายื่นข้อเสนอมาแบบนี้ ชัดเจนแล้วว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร อย่างที่บอกว่าเอเลนยังสงบนิ่งอยู่ได้ และมีเพียงแค่เขาที่ร้อนรนจนนั่งแทบไม่ติด

          "เรื่องนั้น! ผมเกรงว่าจะไม่ได้หรอกนะครับ ผมกับเอเลนเราทำงานกันเป็นทีมเราคอยระ...."

          "ผมไม่ทำอะไรคู่หูของคุณหรอก แต่เรามีเรื่องต้องคุยกันนิดหน่อย"  เขาพูดยังไม่ทันจบ รีไวล์ก็พูดขัดขึ้นมาซะก่อน น้ำเสียงของชายหนุ่มเข้มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด บ่งบอกว่าอีกฝ่ายหมายความอย่างที่พูดจริงๆ 

          "แต่ผมคิดว่ามันไม่!..."

          "ไม่เป็นไรแจน ฉันจัดการเรื่องนี้เอง"  เอเลนบีบไหล่คู่หูของตัวเองเบาๆ ทำให้อีกฝ่ายยอมหยุดหาข้อโต้แย้งและยอมแพ้ไปในที่สุด

          "ระวังตัวด้วย ฉันจะรออยู่ข้างนอก ถ้ามีอะไรก็ตะโกนดังๆ เข้าใจไหม!"  แจนโน้มตัวลงมากระซิบที่ข้างหู พอเห็นเขาพยักหน้ารับแล้วจึงยอมลุกเดินออกจากห้องไปแต่โดยดี


          "อย่ามองฉันด้วยสายตาแบบนั้น เอเลน"  รีไวล์พูดขึ้นหลังจากประตูห้องปิดลง น้ำเสียงของชายหนุ่มไม่ได้เป็นแบบพิธีการเหมือนเมื่อก่อนหน้า และฟังดูผ่อนคลายขึ้น เป็นโทนเสียงเดียวกันกับที่ฝ่ายนั้นใช้คุยกับเขาที่บาร์เมื่อคืน

          "ช่วยให้คำจำกัดความด้วยครับ ผมมองคุณแบบไหน?"

          "นายก็รู้ว่าฉันหมายถึงอะไร"

          "แต่เมื่อคืนคุณไม่ได้บอกผม ว่าคุณเป็นมาเฟีย"  คำพูดของเขาทำให้ชายหนุ่มตรงหน้าถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินตรงมายังเขา รีไวล์จับเก้าอี้ที่เขานั่งหมุนออกจากโต๊ะเพื่อให้เผชิญหน้ากัน แล้วใช้แขนขังเจ้าตัวไว้ระหว่างตัวเองกับเก้าอี้แม้อีกฝ่ายจะไม่มีท่าทีขัดขืนก็ตาม

          "นายก็ไม่ได้บอกฉันเหมือนกันว่าเป็นตำรวจ เพราะงั้นถือว่าเราเสมอกันไม่ใช่รึไง?"  เอเลนรู้ดีว่ารีไวล์พูดถูก ความจริงเมื่อคืนพวกเขาไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ ไม่คิดจะเอ่ยปากถามด้วยซ้ำว่าชายหนุ่มทำอาชีพอะไร จะมาโกรธเคืองอีกฝ่ายเอาตอนนี้ก็ดูจะไร้เหตุผลเกินไป

          "โอเคเราเสมอกัน เพราะงั้นปล่อยให้ผมทำหน้าที่ตัวเองได้รึยังครับ?"  ใบหน้ามนตอบพลางเหล่มองแขนที่ใช้ขังตัวเองไว้เป็นเชิงบอก แน่นอนว่ารีไวล์รู้ถึงความหมายที่เขาต้องการจะสื่อ แต่ยังไม่มีทีท่าจะทำตามอย่างที่ขอแต่อย่างใด

          "นายเกลียดมาเฟีย"

          "ผมต้องจดคำให้การ"  พอตั้งใจจะเลี่ยงชายหนุ่มกลับส่ายหน้ายิ้มๆ ว่านั่นไม่ใช่คำตอบ และจะไม่ปล่อยจนกว่าจะได้คำตอบที่ต้องการ เอเลนจึงจำใจต้องตอบคำถามอย่างเสียมิได้

          "ผมมีความทรงจำแย่ๆ เกี่ยวกับพวกคุณนิดหน่อย"

          "เกี่ยวกับพวกเขา ไม่ใช่ฉัน เราจะคุยกันด้วยเหตุผลตกลงไหม?"

          "จริงของคุณ"  ได้ยินแบบนั้นเจ้าตัวก็ได้แต่พยักหน้ายอมรับโดยไร้ข้อโต้แย้ง เรื่องที่เคยเกิดขึ้นกับเขาไม่เกี่ยวกับอีกฝ่าย และคนที่ทำเรื่องนี้ก็กำลังชดใช้กรรมของตัวเองอยู่ เขารู้ดี

          "แต่ผมไม่เคยเห็นคุณมาก่อน"  เอเลนเว้นวรรคคำพูดของตัวเองครู่หนึ่งก่อนเหลือบมองฝ่ายนั้นแล้วพูดต่อ  "ผมหมายถึง ผมสืบคดีเกี่ยวกับมาเฟียในเบอร์ลินหลายคดี ผมรู้จักแก๊งของคุณ แต่ไม่เคยเห็นคุณ"

          "ก็ไม่แปลก เพราะส่วนใหญ่ฉันใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศน่ะ เพิ่งกลับมาได้ไม่นาน แต่ฉันรู้จักครอบครัวของไบรอันดี"

          "ข้อแก้ต่างเพื่อตัดตัวเองออกจากผู้ต้องสงสัยหรือครับ"  ใบหน้ามนเอ่ยยิ้มๆ ความจริงเขาแค่แหย่ฝ่ายตรงข้ามไปงั้น เพราะรู้ดีว่าตระกูลโครว์ เป็นที่ปรึกษาทางการเงินให้กับ 'อัคเกอร์แมน' มาสองรุ่นแล้ว คือพ่อของเขาและตัว ไบรอัน โครว์เอง

          "นั่นเป็นเรื่องที่นายต้องพิสูจน์"  รีไวล์ตอบเสียงเข้มขึ้นเล็กน้อย ทว่ารอยยิ้มบางๆตรงมุมปากยังไม่จางหายไป  "แต่ถ้าถามความคิดเห็นของฉัน ฉันว่านายกำลังมาผิดทางแล้ว คนที่นายกำลังตามหาไม่ใช่ฉัน"

          "คุณอยากจะบอกอะไรผมกันแน่?"

          "นายเป็นคนฉลาด นายรู้ว่าควรเริ่มจากตรงไหน"

          "แน่นอนว่าผมกำลังทำอยู่ แต่คุณก็ยังไม่หลุดจากการเป็นผู้ต้องสงสัยหรอกนะครับ"

           "ฉันรู้ แต่นายจะไม่หันกระบอกปืนใส่ฉันใช่ไหม?"

          "แล้วคุณทำเรื่องผิดกฏหมายรึเปล่าล่ะ?"

          "ก็มีบ้าง แต่งานส่วนใหญ่ของฉันถูกกฏหมาย"  คำตอบของเขาทำให้ร่างบางตรงหน้าหลุดหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ แม้จะเป็นเรื่องที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าพวกมาเฟียทำงานผิดกฏหมายเป็นอาชีพหลักกันทั้งนั้น แต่พอได้ยินจากปากของอีกฝ่ายเขากลับรู้สึกเหมือนมันกลายเป็นเรื่องตลกไปซะได้

          "งั้นคุณคงต้องระวังตัวหน่อยแล้ว เพราะถ้าจำเป็นต้องทำผมจะไม่ลังเล"

          "ก็ยุติธรรมดี"

          "ผมพูดจริง"

          "ฉันก็เหมือนกัน"

          ทั้งคู่สบตากันอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน รอยยิ้มบางๆยังปรากฏตรงมุมปากของทั้งสองฝ่ายแม้ความหมายของมันจะแตกต่างออกไปเล็กน้อย แต่พวกเขารู้ดีว่าต่างฝ่ายต่างหมายความอย่างนั้นจริงๆ
.
.
.
....To be con.

22 ธ.ค. 2561

Attack on titan Fanfic.[H.B.D Levi x Eren Projects.] Signal_02



Signal.


            บทที่ : 02


          คงไม่สามารถหาสถานที่สงบสำหรับเด็กที่บอบช้ำทางจิตใจที่ไหนดีเท่าเรือนต้นไม้ของคุณนายไลแมนอีกแล้ว รอบห้องกรุกระจก หน้าต่างหันออกสู่สวนส่วนตัวที่มีกำแพงล้อมรอบ แสงแดดยามเช้าสาดส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาบำรุงเลี้ยงป่าชุ่มชื้นขนาดย่อมที่เต็มไปด้วยเถาวัลย์ ต้นเฟิน และไม้กระถาง เอเลนมองไม่เห็นว่าเด็กชายอยู่ตรงส่วนไหนของสวนเขียวชอุ่ม เขาเห็นแต่ตำรวจหญิงที่ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้ระแนงแล้วตรงมายังเขา

          "คุณนักสืบฉันเจ้าหน้าที่วาซเกซค่ะ!"

          "ออสตินเป็นยังไงบ้าง?"  เจ้าหน้าที่หญิงชำเลืองไปทางมุมห้องตรงจุดที่เถาวัลย์เลื้อยพันกันเป็นซุ้มหนาก่อนจะกระซิบ  "เขาไม่ยอมพูดกับฉันสักคำ เอาแต่หลบหน้าหลบตาแล้วร้องไห้เป็นระยะๆ"  เอเลนเพิ่งสังเกตุเห็นร่างผอมนั่งหลบอยู่ใต้ซุ้มเถาวัลย์ เด็กชายขดตัวกอดเข่าจนชิดอก ถึงเจ้าหน้าที่จะบอกว่าเขาอายุสิบสอง แต่เขากลับดูเด็กและตัวเล็กกว่านั้นมาก ออสตินสวมชุดนอนสีฟ้า ผมหน้าม้าสีน้ำตาลอ่อนปรกหน้าจนมองไม่เห็นดวงตาของเจ้าตัว

          เห็นแบบนั้นเอเลนจึงคุกเข่าแล้วคลานเข้าไปหา มุดหลบเถาวัลย์ขณะคืบลึกเข้าไปในร่มไม้ เด็กชายไม่ขยับเขยื้อนเมื่อเขาเข้าไปนั่งข้างๆในที่ซ่อนที่เปรียบเสมือนป่า

          "ออสติน ฉันชื่อเอเลนนะ ฉันมาช่วยเธอ"  เด็กชายไม่เงยหน้าหรือตอบโต้อะไร แต่เอเลนก็ยังพูดต่อไป

          "เธอนั่งอยู่ตรงนี้พักใหญ่แล้วนี่ ป่านนี้คงหิวแย่"   ร่างผอมๆนั่นขยับเล็กน้อย จนเอเลนไม่ทันสังเกตุว่าเจ้าตัวส่ายหัวหรือกำลังสั่นเทาอยู่กันแน่?

          "เอานมช็อกโกแลตหน่อยไหม? หรือไอศกรีมดีล่ะ? ฉันว่าคุณนายไลแมนต้องมีไอศกรีมอยู่ในตู้เย็นแน่ๆ"  เด็กชายขดตัวแน่นขึ้นอีก ดูแล้วน่ากลัวว่าจะไม่มีวันแกะแขนขาที่รัดแน่นจนแทบผูกเป็นปมได้ เอเลนมองผ่านเถาวัลย์ไปที่เจ้าหน้าที่วาซเกซซึ่งจับตาดูอย่างเคร่งเครียด  "เราขออยู่ตามลำพังก่อนได้ไหม? ผมว่าเจ้าหน้าที่สองคนมันมากเกินไปสำหรับเด็ก"  เอเลนบอก เจ้าหน้าที่วาซเกซพยักหน้ารับแล้วเดินออกจากเรือนกระจกไป

          เป็นเวลาสิบหรือสิบห้านาที ที่เอเลนปล่อยให้ผ่านไปโดยไม่พูดอะไรและไม่มองตรงไปที่เด็ก ทั้งสองนั่งข้างกันในความเงียบ เสียงเดียวในบริเวณนั้นคือน้ำพุจากอ่างหินอ่อน เอเลนเอนหลังพิงซุ้มต้นไม้พลางเงยมองแสงอาทิตย์ที่ลอดผ่านเถาวัลย์ลงมา เขาได้ยินเสียงใบไม้ไหวเมื่อเด็กชายเอนตัวพิงซุ้มเถาวัลย์บ้าง แต่เอเลนฝืนตัวเองไม่ให้หันไปมอง เขานึกถึงตัวเองในตอนนั้น ที่แม้แต่เด็กอายุสิบสองก็ต้องการมีพื้นที่ส่วนตัวเป็นของตัวเอง ไม่ชอบให้ใครมาจ้องมองหรือรุกล้ำความเป็นส่วนตัว ดังนั้นเขาจึงพยายามไม่รุกล้ำอาณาเขตของออสติน แค่นั่งอยู่ข้างๆเด็กชายเท่านั้น

          "คุณเป็นใคร?"  คำพูดนั้นแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบ เอเลนบังคับตัวเองให้นิ่งไว้แล้วปล่อยให้ความเงียบคั่นกลางอยู่ครู่หนึ่ง

          "ฉันชื่อเอเลน"  เขาตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาพอกัน

          "แล้วคุณเป็นใครล่ะ"

          "ฉันเป็นเพื่อนเธอ"

          "ไม่ใช่ซะหน่อย ผมไม่รู้จักคุณด้วยซ้ำ"  เอเลนคิดตามแล้วก็ต้องยอมรับว่าเด็กคนนี้พูดถูก เขาไม่ใช่เพื่อนของออสติน แต่เป็นตำรวจที่ต้องการข้อมูลจากเจ้าตัวต่างหาก และเมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้วเขาก็จะส่งออสตินให้นักสังคมสงเคราะห์รับไม้ต่ออีกที

          "ถูกของเธอ ออสติน ฉันไม่ใช่เพื่อนเธอฉันเป็นตำรวจ แต่ฉันอยากช่วยเธอจริงๆนะ"

          "ไม่มีใครช่วยผมได้หรอก"

          "ฉันช่วยได้ แล้วฉันก็จะช่วยเธอด้วย"

          "งั้นคุณก็ต้องตายเหมือนกัน"  คำพูดที่เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบจากปากของเด็กอายุสิบสอง ทำให้เอเลนถึงกับเย็นสันหลังวาบ เขาหันไปมองหน้าเด็กชาย แต่ออสตินไม่ได้มองเขา เจ้าตัวเอาแต่มองไปข้างหน้าด้วยสายตาว่างเปล่าราวกับเห็นอนาคตที่ไร้ความหวังของตัวเอง

          "คุณจะช่วยผมจริงๆเหรอ?"  ออสตินพูด ก่อนจะขดตัวกอดเข่าเข้าหาตัวเองอีกครั้ง

          "จริงสิ"

          "ผมมองอะไรไม่เห็นเลย ผมหามันไม่เจอ แล้วตอนนี้ก็ไม่กล้ากลับไปหาแล้วด้วย"

          "เธอหาอะไรออสติน?"

          "แว่น มันน่าจะอยู่ในห้องนอน แต่ผมหามันไม่เจอ"

          "ฉันจะไปหาให้เอง"

          "ผมบอกคุณไม่ได้ว่าเขาหน้าตาเป็นยังไง เพราะผมไม่เห็นหน้าเขา"   เอเลนนิ่งเงียบไม่กล้าขัด เพราะกลัวว่าถ้าพูดอะไรออกไปออสตินจะถอยกลับเข้าไปอยู่ในเกราะป้องกันตัวเองอีกครั้ง เขานิ่งรออยู่นานแต่ออสตินก็ไม่พูดอะไรออกมาอีก จนในที่สุดเอเลนก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากถาม

          "เธอพูดถึงใครเหรอ?"  เด็กชายมองหน้าเขา ดวงตาวาววับราวกับมีเปลวไฟสีฟ้าอยู่ข้างในคลอน้ำจวนเจียนจะร่วงหล่นลง  "ก็คนที่ฆ่าพวกเขายังไงล่ะ"  เสียงออสตินแตกพร่าเพราะพยายามกล้ำกลืนอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน  "ผมอยากช่วยคุณนะ แต่ผมทำไม่ได้"  สัญชาตญาณทำให้เอเลนอ้าแขนออกทันที ออสตินโถมเข้ามาพร้อมกับซบลงบนอกของเขา เด็กชายตัวสั่นรุนแรงจนเขารู้สึกเหมือนร่างเล็กๆในอ้อมแขนกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ

          "เขาไม่เคยหยุด"  ออสตินพูดอู้อี้อยู่กับอกเขา เสียงสะอื้นทำให้แทบจับใจความของเจ้าตัวได้

          "คราวหน้าเขาคงหาผมเจออีก"

          "ไม่หรอก ออสติน เขาหาเธอไม่เจอแน่"

          "เขาจะกลับมาอีก เขาหาผมเจอเสมอ"

          "ฉันจะไม่ยอมให้มันเป็นแบบนั้น ฉันสัญญา"

          "คุณจะอยู่กับผมใช่มั้ยเอเลน?"

          "แน่นอน"

          ในที่สุดออสตินก็ยอมออกมาจากซุ้มเถาวัลย์ เด็กชายยอมเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้เขาฟัง แม้จะมีข้อมูลอะไรไม่มากแต่ก็ถือเป็นสัญญาณที่ดี
          เอเลนพาออสติน ไปฝากไว้กับคุณนายไลแมนเจ้าของบ้านและเจ้าหน้าที่วาซเกซ ก่อนจะกลับไปบ้านที่เกิดเหตุอีกครั้ง เขาเดินมาถึงโถงหน้าบ้านเป็นเวลาเดียวกันกับเจ้าหน้าที่เข็นศพสุดท้ายออกมาพอดี เอเลนหยุดอยู่กับที่เมื่อรถถูกเข็นผ่านไป ใบหน้ามนเสมองไปทางอื่นเล็กน้อยขณะเหลือบสายตามองตามร่างไร้ลมหายใจของคิมมี่ ขณะหันหลังกลับพลางพยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเอง แจนก็เดินลงบันไดมาพอดี

          "เด็กยอมคุยกับนายรึเปล่า? ได้อะไรมาบ้าง?"

          "ไม่มีอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดี ออสตินไม่เห็นคนร้าย แต่ฉันอยากให้นายสืบประวัติครอบครัวของเขาให้หน่อย ฉันคิดว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล"

          "ได้เลย อย่างน้อยเขาก็ยอมพูดกับนายมากกว่าฉันล่ะนะ"

          "แล้วทางนายล่ะได้อะไรมาบ้าง?"

          "เรากำลังตามเบาะแสมาเรีย คล็อกส์ แม่บ้านของที่นี่อยู่ เธอมีกุญแจบ้านและรหัสเปิดปิดระบบกันขโมย"

          "คนทำงานเป็นแม่บ้านก็ต้องมีกุญแจกับรหัสอยู่แล้ว"

          "แต่รายนี้มีแฟนเจ้าปัญหาด้วยนี่สิ ลักลอบเข้าเมือง แถมยังมีประวัติลักเล็กขโมยน้อยอีกเป็นหางว่าว ถึงจะไม่มีประวัติความรุนแรงก็เถอะ"

          "งั้นลองดูก็ไม่เสียหายนี่ ฉันจะขึ้นไปดูห้องนอนของออสตินหน่อย"

          "ให้ไปเป็นเพื่อนมั้ย?"

         "ไม่เป็นไร ฉันไปคนเดียวได้"

          "โอเค งั้นเจอกันที่แล็ป"  ใบหน้ามนยิ้มรับก่อนทั้งคู่จะแยกทางกัน เมื่อขึ้นมาถึงชั้นสี่เอเลนก็เพิ่งรู้ตัวว่าอยู่คนเดียว หน่วยตรวจสอบจุดเกิดเหตุแยกย้ายกันไปหมดแล้ว ก่อนหน้านี้เขาแค่ชำเลืองผ่านประตูห้องนอน แต่ตอนนี้ต้องก้าวเข้าไปและเริ่มสำรวจห้องที่เป็นระเบียบของออสตินอย่างละเอียด โต๊ะเขียนหนังสือซึ่งหันหน้าออกหน้าต่างมีตั้งหนังสือวางอยู่ หลายเล่มเก่าโทรมบ่งบอกว่าถูกเปิดอ่านหลายครั้ง

          เอเลนกวาดสายตามองชื่อหนังสือแล้วก็ได้แต่ประหลาดใจ กลยุทธ์การทำศึกสงครามในสมัยโบราณ ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับพฤกษศาสตร์พื้นบ้าน วิทยาสัตว์ลึกลับ และ พระเจ้าอเล็กซานเดอร์เยือนอียิปต์ เอเลนไม่เคยเห็นเด็กอายุสิบสองคนไหนสนใจหนังสือพวกนี้ แต่ออสตินไม่เหมือนเด็กคนอื่น เขาไม่เห็นทีวีในห้อง แต่มีโน้ตบุ้กหนึ่งเครื่องเปิดค้างอยู่ใกล้ตั้งหนังสือ ปลายนิ้วเรียวกดแป้นพิมพ์แล้วหน้าจอก็สว่างขึ้น เว็บไซต์ล่าสุดที่ออสตินเข้าไปดูคือหน้าค้นหาของกูเกิ้ล เขาป้อนคำค้นหาไว้ว่า 'พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ถูกฆาตกรรมหรือเปล่า?'

          ดูเหมือนออสตินจะเป็นเด็กเจ้าระเบียบไม่น้อย เอเลนสังเกตุจากการเรียงแท่งดินสอในลิ้นชัก ที่ถูกจัดอันดับการใช้ก่อนหลังอย่างชัดเจน ใบหน้ามนหันไปมองผ้าห่มที่เรียบสนิท ผ้าปูเตียงถูกดึงจนตรึงเปรี้ยะราวกับเตียงในโรงนอนทหาร บางทีความระเบียบจัดของออสตินอาจเป็นสิ่งที่ทำให้เจ้าตัวรอดชีวิตมาได้ 

          เดาว่าออสตินคงกำลังอ่านนังสืออยู่บนโต๊ะตัวนั้นตอนที่ฆาตกรเข้ามา เสียงปืนที่ชั้นล่างทำให้เขารีบปิดไฟและหาที่ซ่อนตัว  'รองเท้าสีดำ ผมเห็นแค่นั้น เขาเดินมาหยุดที่ข้างเตียงของผมนานมาก จากนั้นผมก็จำอะไรไม่ได้อีก'  เอเลนย่อตัวคุกเข่าลงไปที่ข้างเตียง ผ้าปูที่นอนที่เรียบตึงนี่อาจทำให้ฆาตกรคิดว่าไม่มีใครอยู่แม้จะเลยเวลาเที่ยงคืนไปแล้ว แต่ความจริงเด็กชายกำลังหลบอยู่ใต้เตียงต่างหาก

          พอก้มมองเข้าไปที่ใต้เตียงเอเลนก็เห็นสิ่งของบางอย่างตกอยู่ใต้นั้น เขาต้องทิ้งตัวลงนอนคว่ำกับพื้นถึงจะหยิบของชิ้นนั้นออกมาได้ มันคือแว่นตาของออสติน เอเลนลุกขึ้นยืนแล้วกวาดสายตามองไปรอบๆห้องเป็นครั้งสุดท้าย แม้แสงแดดจะส่องสว่างผ่านหน้าต่าง อุณหภูมิภายนอกสูงถึงยี่สิบสี่องศาเซลเซียส แต่เมื่ออยู่ในห้องนี้เขากลับรู้สึกเย็นเยียบจนตัวสั่นระริก ห้องของเด็กชายผู้รอดชีวิต.....



          แม้เวลาจะล่วงเลยไปแล้วค่อนคืน แต่ความวุ่นวายในห้องแล็ปอาชญากรรมยังคงเหมือนเดิม เพราะคดีของครอบครัวโครว์เป็นคดีใหญ่ที่ผู้นำหลายฝ่ายให้ความสนใจ เจ้าหน้าที่ของแล็ปทั้งกะกลางวันและกลางคืนจึงต้องเร่งมือทำงานกันอย่างหนักเพื่อหาคำตอบที่ทำให้ทุกคนพอใจ

          "เอเลนมาดูนี่! ประวัติครอบครัวของออสตินที่นายขอได้แล้วนะ นายต้องไม่เชื่อแน่ๆ"

          "เกิดอะไรขึ้น?"  ร่างบางสาวเท้ายาวๆตรงไปยังห้องทำงานของแจน ก่อนจะตรงไปยังหน้าจอคอมพิวเตอร์ของชายหนุ่ม

          "เมื่อสองปีก่อนออสตินกับครอบครัวกำลังล่องเรือ เอ่อ...หมายถึงพ่อแม่ที่แท้จริงอะนะ พวกเขาทอดสมออยู่ไม่ไกลจากเกาะเซนต์โทมัส พอตกกลางคืนมีคนแอบขึ้นไปบนเรือตอนที่พวกเขาหลับอยู่ พ่อ แม่ และพี่สาวของออสตินถูกฆ่า พวกเขาถูกยิง"  ใบหน้ามนขมวดคิ้วแน่นก่อนจะอ่านข้อความที่เหลือในอีเมลนั้นด้วยตัวเอง

          "มีคนพบออสตินสวมเสื้อชูชีพลอยอยู่ในน้ำ แต่แกจำไม่ได้เลยว่าลงไปอยู่ในน้ำได้ยังไง"

          "ใช่ ออสตินสูญเสียความทรงจำช่วงที่เกิดเหตุไป"

          "อาจจะไม่ทั้งหมด ออสตินบอกฉันว่าพวกมันตามหาเขา"

          "หรือบางทีเขาอาจจำได้หมดแล้วก็ได้ ต้องรบกวนนายอีกรอบแล้วล่ะเอเลน ฉันจะค้นดูว่าใครรับผิดชอบคดีนี้เมื่อสองปีก่อน บางทีอาจมีเบาะแสที่เป็นประโยชน์กับเรา"  เอเลนพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของแจนก่อนจะยื่นผลการตรวจรอยนิ้วมือจากลูกบิดประตูห้องครัวให้อีกฝ่ายบ้าง

          "ผลตรวจเป็นรอยนิ้วมือของ อลองโซ่ ดิแอช แฟนของมาเรีย"

          "เยี่ยมเลย เรามีรอยนิ้วมือของนักย่องเบา กับฆาตกรต่อเนื่องนิรนาม"

          "แต่อย่างลืมว่าข้าวของไม่ได้ถูกขโมยนะ"

          "รู้แล้วน่า"

          "แค่กันไว้ก่อน ฉันไม่อยากให้นายจับผิดตัวน่ะนะ"  ใบหน้ามนตบบ่าของอีกฝ่ายปุๆ ก่อนหมุนตัวเดินออกจากห้องไป ได้ยินเสียงฝ่ายนั้นหัวเราะเสียยกใหญ่แล้วตะโกนไล่หลังมา

          "เจ้าบ้าเอ้ย! ขับรถกลับดีๆล่ะ!"



          เอเลนเลี้ยวเลคซัสคู่ใจไปจอดที่ลานจอดรถของบาร์ที่เป็นร้านประจำ เจ้าตัวมักจะแวะหาอะไรดื่มสักแก้วสองแก้วก่อนกลับบ้านเสมอ หากวันไหนที่เจอเรื่องเครียดๆในที่ทำงาน เหมือนเช่นวันนี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเรื่องของออสติน กำลังทำให้เขารู้สึกเหมือนจมดิ่งลงไปในหุบเหวลึกที่หาทางออกไม่ได้ เขาอยากช่วยเด็กน้อยคนนั้นอย่างถึงที่สุด อยากจับไอ้สารเลวนั่นมารับโทษให้ได้ แต่ความกลัวก็ค่อยๆก่อตัวขึ้นในใจของเขาด้วยเช่นกัน

          "คลับโซดาแก้วหนึ่งครับ โอ๊ะ!?"  เจ้าตัวสั่งเครื่องดื่มกับบาร์เทนเดอร์หลังจากนั่งลงตรงหน้าเคาน์เตอร์แล้ว แต่จังหวะนั้นเองที่ขี้เมาสองคนเดินเซเข้ามาชนโดยแรง จนเอเลนเกือบตกเก้าอี้ โชคดีที่ผู้ชายที่นั่งอยู่อีกข้างรับเจ้าตัวเอาไว้ได้ทัน

          "เป็นอะไรไหม?"  เสียงทุ้มที่เหมือนกับมาพร้อมมนต์สะกด ทำให้ใบหน้ามนหันกลับไปมองเจ้าของเสียงอย่างลืมตัว พออีกฝ่ายเลิกคิ้วสูงถึงเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองกำลังเสียมารยาทจึงรีบลุกกลับไปนั่งเก้าอี้ของตัวเองตามเดิมพร้อมกับขอโทษขอโพย

          "โทษทีครับ พอดีผมไม่ทันระวัง"

          "ไม่เป็นไร"  ชายหนุ่มตอบพร้อมรอยยิ้มบางๆตรงมุมปาก เอเลนจึงค้อมหัวขอโทษฝ่ายนั้นอีกครั้งก่อนจะยกคลับโซดาของตัวเองขึ้นดื่มแก้เก้อ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังรู้สึกได้ถึงสายตาคมกริบคู่นั้นเหลือบมองมาที่เขาเป็นระยะๆ เขาเป็นตำรวจ ประสาทสัมผัสและสัญชาตญาณจึงถูกฝึกมาให้เฉียบคมกว่าคนปรกติการถูกมองในระยะเผาขนขนาดนี้ทำให้ริมฝีปากอิ่มผุดรอยยิ้มบางๆออกมาก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับฝ่ายตรงข้าม

          "มีอะไรรึเปล่าครับ?"  ชายหนุ่มส่ายหน้ายิ้มๆ แต่คราวนี้อีกฝ่ายจงใจมองหน้าของเขาตรงๆ

          "ฉันแค่แปลกใจ สีหน้านายดูเครียดๆ แต่ฉันคิดว่าคลับโซดาคงช่วยอะไรนายไม่ได้"

          "คนที่สั่งเพอร์เฟคช็อต ไม่มีสิทธ์พูดแบบนี้หรอกนะครับ"  จบคำพูดของเขา ทั้งคู่ก็หัวเราะออกมาเบาๆพร้อมกัน แหงล่ะว่าคนที่สั่งกาแฟดื่มตอนเที่ยงคืนต้องแปลกกว่าคนที่สั่งคลับโซดาอย่างเขาอยู่แล้ว

          "เรื่องงานหรือ?"

          "ครับ นิดหน่อย"

          "ยังดีที่ไม่ใช่เรื่องความรัก"

          "คุณกำลังคาดหวังอะไรอยู่น่ะ? ฮะฮะ"

          "ก็เปล่านี่"  บทสนทนากระท่อนกระแท่นของพวกเขาดำเนินต่อไปอีกพักใหญ่ แต่ถึงอย่างนั้นรอยยิ้มบางๆก็ยังไม่หายไปจากใบหน้าของคนทั้งคู่ เอเลนสั่งคลับโซดามาดื่มเป็นแก้วที่สามแล้ว แต่ชายหนุ่มอีกคนยังดื่มเพอร์เฟคช็อตแก้วเดิมของตัวเองพร่องไปไม่ถึงครึ่ง ใบหน้ามนจึงรู้ได้ในทันทีว่าอีกฝ่ายคงกำลังรอใครบางคน และอาจเป็นเพราะเขา คนคนนั้นถึงยังไม่เข้ามาซะที

          "ผมต้องกลับแล้ว ขอบคุณครับ เพราะคุณผมเลยรู้สึกดีขึ้นมาบ้างแล้ว"

          "ด้วยความยินดี ให้เดินไปส่งไหม?"  ใบหน้ามนส่ายหน้ายิ้มๆ

          "ผมไม่ได้เมาซะหน่อย ไม่ลำบากคุณหรอก"  แต่พอหมุนตัวไปยังไม่ทันก้าวขาเดินด้วยซ้ำ ข้อมือของเขาก็ถูกคว้าเอาไว้ซะก่อน คราวนี้เอเลนจึงเป็นฝ่ายเลิกคิ้วสูงด้วยความสงสัยบ้าง

          "นายยังไม่ได้บอกชื่อฉันเลยนะ"

          "ยื่นหมูยื่นแมวสิครับ บอกชื่อของคุณมาก่อน"  ชายหนุ่มพยักหน้ายิ้มๆ เมื่อถูกฝ่ายตรงข้ามรู้เท่าทัน แต่เขาก็ยอมบอกชื่อตัวเองก่อนอย่างที่คนตรงหน้าขอแต่โดยดี

          "รีไวล์"

          "ผมเอเลน"  ชายหนุ่มพึมพำชื่อเขาในลำคอ ก่อนจะยอมปล่อยข้อมือเขาในที่สุด
   
          "บายครับ"

          ใบหน้ามนโบกมือให้ชายหนุ่มน้อยๆ ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป พอถึงประตูทางออกเจ้าตัวหันกลับไปมองที่เคาน์เตอร์อีกครั้ง พบว่าฝ่ายนั้นยังมองตรงมาที่เขาราวกับจะส่งกันด้วยสายตาจนถึงรถเลยก็ไม่ปาน มันทำให้เขาหลุดยิ้มออกมาก่อนจะโบกมือให้ชายหนุ่มอีกครั้ง

          จังหวะนั้นเองที่ชายร่างสูงใหญ่คนหนึ่งเดินเข้าไปนั่งตรงเก้าอี้ที่เขาเพิ่งลุกมา ดูจากท่าทางแล้วผู้ชายคนนั้นคงรู้จักกับคุณรีไวล์คนนั้นเป็นแน่ เอเลนหันหลังเดินออกจากร้านไปโดยไม่ได้หันกลับไปมองฝ่ายนั้นอีก ถึงแม้จะรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่คนที่เขารออยู่ไม่ใช่สาวสวยหุ่นนางแบบอย่างที่คิดไว้

          เพราะดูจากการแต่งตัวแล้วชายหนุ่มคงไม่ใช่พนักงานกินเงินเดือนทั่วไปอย่างเขาเป็นแน่ ทั้งสูทแบรนด์เนมสั่งตัดและนาฬิกาที่สวม พนักงานรายเดือนที่ไหนจะมีปัญญาหาซื้อมาใส่กัน
.
.
.
....To be con.

Attack on titan Fanfic.[H.B.D Levi x Eren Projects.] Signal_01

Signal.


            บทที่ : 01



          เสียงดังคล้ายคนกำลังทะเลาะกันที่แว่วมาจากหน้าบ้านทำให้เอเลน จำต้องวางหนังสือที่กำลังอ่านลง แล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงไปยังชั้นล่างแทบจะทันที แล้วสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าก็ทำให้ใบหน้ามนถอนหายใจออกมาอย่างปลงๆ ก่อนจะยืนกอดอกพิงประตูมองภาพตรงหน้าโดยไม่คิดจะเข้าไปห้ามปราม เพราะคนตรงหน้าเขาไม่ได้มีแขกที่ไม่ได้รับเชิญ หรือกำลังตบตีกับใคร หากแต่กำลังโวยวายผ่านโทรศัพท์มือถืออย่างที่เกิดขึ้นเป็นประจำต่างหาก

          "พอที! คุณเป็นคนทิ้งฉันกับลูกไปเองนะ แล้วตอนนี้ยังจะมาวุ่นวายกับพวกเราทำไมอีก?"

          "ทะเลาะกับพ่ออีกแล้วเหรอฮะ?"  ใบหน้ามนเอ่ยขึ้นยิ้มๆ หลังจาก 'เบลล่า' แม่เลี้ยงของเขากดวางสายโทรศัพท์มือถือแล้วโยนมันทิ้งไปบนโซฟาอย่างไร้ความปราณี

          "เรื่องเดิมๆน่ะ แม่ไม่อยากพูดถึง มันควรจะจบได้แล้ว"

          "ผมเข้าใจ เอาไว้ผมจะไปคุยกับพ่อเองนะครับ"

          "เอเลน"  เบลล่าเดินมาสวมกอดลูกชายของเธอ ถึงแม้ว่าเอเลนจะไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของเธอจริงๆ แต่ความรักที่เธอมีให้เขานั้นไม่ได้น้อยไปกว่าลูกชายแท้ๆของเธอเลย ทว่ายังไม่ทันที่ทั้งคู่จะทันได้คุยอะไรกันไปมากกว่านั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง หากแต่คราวนี้เป็นเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์บ้านไม่ใช่เบอร์มือถือ ทำให้ผู้เป็นแม่จำต้องผละออกไปรับสายอย่างช่วยไม่ได้

          "ของลูกน่ะ"  เธอหันกลับมาบอกเอเลนด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวล หลังจากยกหูคุยกันไปได้ไม่กี่ประโยคทำให้ใบหน้ามนขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะเดินไปรับสาย

          "เอเลนพูดครับ"

          'ฉันพยายามโทรเข้ามือถือนายแล้วแต่ไม่มีคนรับ ฉันอยากให้นายมาที่นี่ตอนนี้!'  เป็น 'แจน กิลล์ชูไตน์' ที่โทรมา ไม่มีการเกริ่นนำอย่างสุภาพ ไม่มีคำว่าร้องขอหรือรบกวนรึเปล่า? อะไรเทือกนั้น แจนเป็นตัวของตัวเองอย่างสุดๆ ซึ่งเอเลนก็ตอบกลับไปห้วนๆเช่นเดียวกัน

          "ตอนนี้ไม่ใช่เวรฉัน"

          'ฟังนะเอเลน มิคาสะพาคนไปสามทีม ฉันเป็นคนคุมคดีนี้ก็จริงแต่คนเราไม่พอ ฉันต้องการให้นายเอ่อ...ช่วย'

          "...โอเค โทรเข้ามือถือฉันก็แล้วกัน"  ใบหน้ามนดูจะอึ้งไปเล็กน้อยที่ถูกคู่รักคู่แค้นอย่างหมอนั่นขอร้องให้ช่วย แต่เจ้าตัวเองก็รู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาเล่นลิ้น เมื่อมันต้องสุ่มเสี่ยงต่อชีวิตของคน

          "มีเรื่องเกิดขึ้นใช่มั้ยเอเลน?"  เบลล่าถามขึ้นเมื่อลูกชายของเธอวางสายลง เธอรู้ดีว่าเอเลนทำงานอะไร และมันทำให้เธอกังวลทุกครั้งที่ลูกชายของเธอถูกเรียกตัวออกไปแบบปุ่บปั่บเช่นนี้

          "ก็เหมือนทุกวันแหละฮะ เพราะเมืองนี้ไม่เคยหลับ"  ใบหน้ามนหันมายิ้มให้ผู้เป็นแม่ก่อนจะรีบวิ่งขึ้นห้องไป เป็นจังหวะเดียวกันที่มือถือของเขามีสายเรียกเข้าพอดี แน่นอนว่าเป็นสายจากแจนนั่นเอง

          "ว่ามา"  เจ้าตัวกดรับสายแล้วหนีบมือถือไว้กับหัวไหล่ฟังรายงานจากฝ่ายตรงข้ามขณะหยิบโค้ทตัวเก่งมาสวม โดยไม่ลืมที่จะคว้าเอาปืนพกและตราประจำตัวใส่กระเป๋าเสื้อโค้ทไปด้วย

         'เกิดเหตุฆาตกรรมสามศพ พยานที่เห็นเหตุการณ์ช็อกจนให้ข้อมูลอะไรไม่ได้ ลองให้อาร์มินพยายามคุยดูแล้ว แต่หมอนั่นบอกคุยกับศพยังง่ายกว่าคุยกับเด็กน่ะ...'  ก็แหงล่ะ หมอนั่นเป็นแพทย์นิติเวชนี่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่จากศูนย์พิทักษ์เด็กซะหน่อย เอเลนคิดขำๆ แต่ในวินาทีถัดมาสีหน้าของเจ้าตัวก็ดูเคร่งเครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

          "เดี๋ยวนะ! นายพูดว่าเด็กเหรอ?"

          'ใช่ สิบเอ็ดหรือสิบสองขวบ เขาเป็นคนเดียวที่รอดมาได้'

          "บอกที่อยู่มา ฉันจะไปเดี๋ยวนี้!"

          'จตุรัสกลางเมือง แต่ตอนนี้รถนักข่าวจอดเต็มหมดแล้ว นายคงต้องเดินไกลหน่อย'

          "โอเค"  เลคซัสคู่ใจของเขาพุ่งตัวออกจากโรงจอดรถทันทีที่วางสายจากแจน ดวงตาสีเขียวมรกตทอปรระกายแข็งกร้าวขึ้นมาชั่วขณะหนึ่งก่อนจะแปลเปลี่ยนเป็นความมัวหมองเวลาในถัดมา ความรู้สึกของเขามักจะอ่อนไหวทุกครั้งที่มีเด็กเข้ามาเกี่ยวข้อง แม้จะไม่อยากพูดถึงแต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันทำให้เขาหวนคิดถึงเรื่องที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเองเมื่อครั้งในอดีต



           เลคซัสสีดำของเอเลนจอดห่างจากจตุรัสกลางเมืองไปสองช่วงตึก ก่อนเจ้าตัวจะตัดสินใจเดินผ่านตรอกเล็กๆอ้อมไปด้านหลังเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับพวกนักข่าวทางด้านหน้าของสถานที่เกิดเหตุ ใช้เวลาไม่นานนักเอเลนก็เดินมาถึงประตูทางเข้าที่ด้านหลัง ตรงนั้นมีตำรวจสายตรวจสองสามนายกำลังเดินตรวจสอบรอบๆบริเวณไปพร้อมกับเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน โดยมีตำรวจอีกนายยืนเฝ้าประตูที่คาดเทปสีเหลืองกั้นเอาไว้

          มือบางชูตราประจำตัวของตัวเองให้สายตรวจที่เฝ้าประตูดูพอเป็นพิธี เพราะอีกฝ่ายรู้อยู่แล้วว่าเขาคือใคร เอเลนยืนรอจนกระทั่งฝ่ายนั้นทำเครื่องหมายตรงหน้าชื่อของตัวเองถึงลอดแถบเส้นกั้นสีเหลืองเข้าไป

          "หมวดแจนรอคุณอยู่ด้านใน ผมจะนำทางไปนะครับ"  สายตรวจคนเดิมกล่าว ก่อนจะกวักมือเรียกเพื่อนร่วมทีมของตนมายืนเฝ้าประตูทางเข้าแทน เอเลนเอ่ยขอบคุณเบาๆ ขณะเงยหน้ามองบ้านอิฐแดงสี่ชั้นหลังงาม

          "น่าจะซักสิบห้าหรือยี่สิบล้านได้นะ คุณว่าไหม?"  ใบหน้ามนทำเพียงแค่ยิ้มมุมปาก กับคำพูดของนายตำรวจหนุ่ม หากแต่กำลังคิดในใจว่านั่นมันราคาก่อนที่จะเกิดเหตุสลดนี้ขึ้นต่างหาก บางทีหลังจากนี้ราคาของมันอาจจะถูกเหมือนได้เปล่าเลยก็เป็นได้ ดวงตาสีเขียวมรกตจ้องมองหน้าต่างโค้งกว้างที่ยื่นออกมาจากตัวบ้านและหน้าจั่วที่สลักลวดลายหรูหราเหนือประตูด้วยสีหน้าที่ตึงเครียดขึ้นเล็กน้อย

          หลังประตูบานนั้นมีเรื่องสยดสยองเกิดขึ้น แม้ในใจของเขาจะพยายามต่อต้านแต่เอเลนก็จำเป็นต้องสร้างเกราะป้องกันขึ้นให้กับจิตใจของตัวเองและพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับมัน

          "หมวดแจนรอคุณอยู่ที่ชั้นสามฝั่งขวามือนะครับ"

         "ขอบคุณ"  ใบหน้ามนก้าวขาเดินขึ้นไปตามบันไดวนทอดสูงขึ้นไปสี่ชั้นจนถึงหลังคากระจกทรงโดม เสียงของใครบางคนกำลังคุยกันแว่วมาจากชั้นบนทำให้เจ้าตัวหยุดอยู่ระหว่างชั้นที่สองและสามก่อนเหลือบสายตามองหาเจ้าของเสียงนั้น แต่จากจุดที่เขายืนอยู่มองไม่เห็นอะไรเลย เสียงที่แว่วมาจึงไม่ต่างจากเสียงของภูติผีที่คอยเฝ้ามองเขาอยู่จากมุมใดมุมหนึ่งของบ้านหลังนี้

          ว่ากันว่าบ้านที่ผ่านกาลเวลามากว่าร้อยปี มักจะมีภูติผีสิงสู่เสมอ บรรยากาศในตอนนี้บวกกับเรื่องที่เกิดขึ้นจึงชวนให้จิตนาการของคนเราเตลิดไปได้ไกลอย่างไม่ยากเย็น

          "เหมือนแอบส่องชีวิตคนรวยเลยว่าไหม?"  เสียงของใครบางคนเอ่ยขึ้นขัดความคิด เอเลนจึงหันกลับไปตามเสียงนั้นและเห็นแจนยืนอยู่ตรงประตู

          "เราพาเด็กคนนั้นไปฝากไว้ที่บ้านข้างๆ เจ้าของบ้านรู้จักกับเด็ก ฉันคิดว่าคงดีกว่าถ้าเราคุยกับเด็กที่นั่น"

          "แต่ฉันต้องรู้ก่อนว่าเกิดอะไรขึ้นในบ้านหลังนี้"

          "นั่นเราก็หาคำตอบกันอยู่ เหยื่อเป็นคู่สามีภรรยาและลูกบุญธรรมอายุแปดขวบ"

          "พวกเขารวยจากอะไร?"

         "ไบรอัน โครว์ เคยเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ก่อนเกษียณตัวเองมาอยู่กับครอบครัว พวกเขาเป็นคนจิตใจดี ชอบทำการกุศล"

          "ถ้าแบบนั้นก็ไม่น่ามีศัตรูสิ"

          "นายเข้ามาดูเองดีกว่า"  แจนตัดบท ก่อนเดินนำเขาเข้าไปในห้องที่ตัวเองเพิ่งออกมา ชายหนุ่มพาเขาเดินตรงดิ่งไปยังห้องสมุด แล้วเอเลนก็พบหัวหน้าหน่วยของเขากับอาร์มินที่เป็นหมอนิติเวชประจำแผนกในห้องนั้น
 
          ห้องที่พวกเขายืนอยู่รายล้อมไปด้วยชั้นวางหนังสือไม้มะฮอกกะนีสูงจรดเพดาน หนังสือบนชั้นบางส่วนร่วงลงมากองกับพื้นซึ่งมีชายสูงอายุนอนคว่ำหน้าอยู่ แขนข้างหนึ่งพาดอยู่บนชั้น ราวกับจะเอื้อมมือคว้าหนังสือสักเล่มแม้ในยามใกล้หมดลมหายใจ

          "ดีใจที่มาได้หมวดเยเกอร์  พวกคุณจัดการตรงนี้ต่อก็แล้วกัน ผมมีเรื่องต้องทำนิดหน่อย"  เมื่อเห็นว่ามือดีของเขามากันพร้อมหน้าแล้ว สารวัตรฮาเนสที่เพิ่งวางสายจากใครบางคนก็ปลีกตัวออกจากห้องไปทันที

           "เราเจออะไรบ้างอาร์มิน?"

          "ก็เหมือนทุกที กระสุนพุ่งเข้าที่ขมับด้านซ้ายก่อนจะทะลุออก"

          "อาจจะเป็น .357 ก็ได้"  แจนพูด

          "หมายความว่านายยังหาปลอกกระสุนไม่เจอ?"

          "ใช่ มือปืนคงเก็บปลอกกระสุนไปด้วย แถมข้าวของพวกนี้แทบไม่มีอะไรอยู่ผิดที่ผิดทาง"  เอเลนกวาดสายตาสำรวจไปรอบๆห้อง เป็นจริงอย่างที่แจนพูด เพราะนอกจากหนังสือที่หล่นกองอยู่ข้างศพแล้ว ไม่มีร่องรอยของการต่อสู้ในห้องนี้เลย พวกนั้นคงลงมืออย่างรวดเร็วและไร้ซึ่งความลังเล

          "เรากำลังเจอกับมืออาชีพ แล้วคนอื่นในบ้านล่ะถูกฆ่าใกล้เคียงกับคุณโครว์รึเปล่า? หรือช้ากว่า?"
          "ฉันบอกได้แค่คร่าวๆ แต่ถ้าจะเอาเป๊ะๆ ต้องมีข้อมูลจากพยานมากกว่านี้"  อาร์มินตอบ เจ้าตัวมีสีหน้าลำบากอย่างเห็นได้ชัดเมื่อพูดถึงพยาน

          "ฉันถึงต้องการให้นายช่วยไง นายดูเป็นมิตรกับเด็กกว่าฉันน่ะนะ ตอนนี้เรามีข้อมูลไม่เท่าไหร่เลย นอกจากรอยนิ้วมือบนลูกบิดประตูห้องครัว ไม่มีรอยงัดแงะ แถมระบบกันขโมยก็ถูกปิดอีก"

          "ฟังดูเหมือนพวกเขาเปิดประตูต้อนรับฆาตกรเองเลยนะ"

          "หรือไม่ก็ลืมเปิดระบบ พอได้ยินเสียงแปลกๆเลยเดินลงมาดู"

          "ชิงทรัพย์เหรอ? มีของหายรึเปล่า?"

          "กล่องเครื่องประดับของภรรยาเขาไม่ได้ถูกแตะต้อง กระเป๋าสตางค์ของพวกเขาทั้งคู่ก็ยังอยู่ในลิ้นชักหัวเตียง"

          "ฆาตกรเข้าห้องนอนของพวกเขารึเปล่า?"

          "เข้าแน่ๆ มันเข้าห้องนอนของพวกเขาทุกห้องเลย"  เอเลนจับความรู้สึกขนลุกขนพองในน้ำเสียงของแจนได้ และรู้ด้วยว่าสิ่งที่กำลังรออยู่ชั้นบนคงสยดสยองมากกว่าในห้องสมุดเลือดสาดนี้หลายเท่า

          "ฉันพานายไปข้างบนได้นะ"  อาร์มินพึมพำไม่เต็มเสียงนัก อาจเป็นเพราะเจ้าตัวคงกลัวจะกระทบกับความรู้สึกของเขาเข้า ใช่แล้ว เหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นกับเขามาก่อน แต่เรื่องนั้นมันผ่านมาสิบห้าปีแล้ว และในตอนนี้เขาก็มีภูมิคุ้มกันจิตใจมากพอ

          "ฉันโอเค นำไปได้เลย"  เอเลนบอกยิ้มๆ มือบางบีบหัวไหล่อาร์มินเบาๆแทนคำปลอบฝ่ายนั้นจึงพยักหน้ารับ

          อาร์มินเดินนำเขาไปที่ห้องสุดทางเดินฝั่งตะวันออกที่อยู่ชั้นสาม โดยมีแจนเดินตามหลังมา ใบหน้ามนมองผ่านประตูที่เปิดค้างเอาไว้เข้าไป เห็นโคนี่เพื่อนร่วมทีมของเขายืนอยู่ตรงนั้น อีกฝ่ายสวมถุงมือยางสีม่วงสะดุดตา แล้วยืนสองแขนแนบข้างลำตัว นั่นเป็นท่ายืนของตำรวจโดยอัตโนมัติเวลาเข้าไปในที่เกิดเหตุ เพื่อป้องกันไม่ให้เผลอไปแตะต้องทำลายหลักฐานโดยไม่ตั้งใจ พอฝ่ายนั้นเห็นพวกเขาก็ส่ายหน้าเศร้าๆ คล้ายกำลังบอกว่า 'ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่ ในวันที่อากาศดีแบบนี้เลย'

          แสงแดดที่สาดเข้ามาทางหน้าต่างสูงจรดเพดาน ทำให้เอเลนตาพร่าไปเพราะผ้าม่านที่ถูกเปิดเอาไว้จนสุด ห้องนอนของพวกเขาหันหน้าไปทางหน้าบ้าน ตรงลานหน้าบ้านมีต้นเมเบิ้ลญี่ปุ่นที่ใบเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มและพุ่มกุหลาบที่กำลังเบ่งบานเต็มที่

          แต่ศพของผู้หญิงคนนั้นต่างหากที่ดึงความสนใจของเอเลนเอาไว้ อลิเซีย โครว์ นอนหงายอยู่บนเตียงในชุดนอนผ้าไหมสีน้ำตาลอ่อน เธอดูอ่อนกว่าวัยไม่เหมือนคนอายุสี่สิบแปด ดวงตาของเธอปิดสนิท ใบหน้าสงบนิ่งจนน่าขนลุก รูกระสุนอยู่เหนือคิ้วซ้ายแค่นิดเดียว รอยเขม่าปืนรูปวงกลมบนผิวเนื้อทำให้รู้ว่าเธอถูกจ่อยิงในระยะเผาขน
 
          "เธอคงกำลังหลับอยู่ ยังมีที่แย่กว่านี้อีกนะ"  โคนี่พึมพำออกมาเบาๆ

          "ห้องนอนของเด็กๆ อยู่ชั้นบน"  อาร์มินเดินออกจากห้องนั้นแล้วตรงขึ้นชั้นบน ราวกับกำลังบอกว่าทุกคนได้เห็นสิ่งที่ควรจะเห็นเรียบร้อยแล้ว พวกเขาเดินขึ้นมาถึงชั้นสี่ อาร์มินเบี่ยงตัวหลบไปด้านข้างแล้วก้าวข้ามสิ่งกีดขวางบางอย่างที่อยู่บนพื้นหน้าบันได เมื่อเขาก้าวขึ้นมาถึงบันไดขั้นสุดท้าย ก็พบกับร่างเล็กจ้อยน่าเวทนามีพลาสติกบางๆคลุมเอาไว้

          อาร์มินย่อตัวลงแล้วเปิดชายพลาสติกข้างหนึ่งขึ้น เด็กหญิงนอนตะแคงในท่าขดตัวแน่นเหมือนพยายามหดกลับเข้าไปในครรภ์มารดา แม้จะจดจำสถานที่แห่งนั้นได้เพียงเลือนลางเต็มที ภาพตรงหน้ากระทบเข้ากับความรู้สึกเอเลนอย่างร้ายกาจ ใบหน้ามนเบือนหนีไปอีกทางก่อนจะค่อยๆปิดเปลือกตาลง

          "เหยื่อรายสุดท้าย คิมมี่ โครว์ อายุแปดขวบ"  อาร์มินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นทางการ เจ้าตัวเว้นวรรคไว้ครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ  "กระสุนเจาะเข้าไปที่กระดูกท้ายทอยของเด็ก แต่ไม่ทะลุออกมา ดูจากทิศทางแล้วผู้ยิงต้องสูงกว่าและยิงจากด้านหลังของเด็ก"

          "แกคงกำลังเคลื่อนไหวอยู่ตอนที่ถูกยิง"  เอเลนพูดขัดขึ้นเบาๆ เจ้าตัวสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกหนึ่ง ก่อนหันหน้ามาเผชิญกับร่างของเด็กหญิงอีกครั้ง บนพื้นใกล้กับศพของคิมมี่ มีรอยเท้าเรียวบางของใครบางคนย่ำลงบนเลือดของเธอ แล้วทิ้งร่อยรอยเอาไว้ก่อนจะหนีออกจากบ้านไป มันเล็กเกินกว่าจะเป็นรอยเท้าของผู้ใหญ่ เดาว่าคงเป็นรอยเท้าของเด็กอีกคนที่รอดชีวิต

          "เด็กคงเห็นอะไรบางอย่างที่ชั้นล่าง เลยเป็นเหตุให้ถูกฆ่า"  แจนที่เดินตามขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้เอ่ยขึ้น

          "อย่าบ้าหลักการไปหน่อยเลยน่า คนที่ทำถึงขนาดนี้ได้คงตั้งใจมาฆ่าเด็กตั้งแต่ก้าวขาเข้ามาในบ้านแล้วล่ะ! เห็นๆกันอยู่ว่ามันต้องการฆ่ายกครัว!"  เอเลนหันขวับไปขึ้นเสียงใส่อีกฝ่าย ก่อนจะชะงักไปกับคำพูดของตัวเองเมื่อเห็นท่าทางอึ้งๆของแจน

          " โทษที ฉัน..."

          "ฉันเข้าใจ แต่นายโอเคมั้ยเอเลน?"  เจ้าตัวพยักหน้ารับทั้งที่ความรู้สึกยังขัดแย้งกันอย่างชัดเจน

          "ฉันแค่โกรธนิดหน่อย"

          "เราทุกคนเอเลน ที่นี่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉัน ฉันกับโคนี่จะเข้าร่วมชันสูตรศพนายไม่ต้องเข้าก็ได้"

          "โอเค ฉันจะไปคุยกับเด็กแล้วเอารอยนิ้วมือที่ลูกบิดกลับไปที่แล็ป นายให้คนไปสืบดูด้วยก็แล้วกันว่าคุณโครว์เคยเป็นที่ปรึกษาทางการเงินให้ใครบ้าง"

          "ได้เลย"




          แจนให้สายตรวจนายหนึ่งนำทางเขาไปบ้านที่ฝากพยานไว้ แต่เพราะบ้านหลังดังกล่าวไม่มีทางเข้าด้านหลัง พวกเขาจึงจำเป็นต้องผ่านทางด้านหน้าอย่างช่วยไม่ได้ และแน่นอนว่าพอเขาก้าวขาพ้นประตูบ้านออกไปฝูงนักข่าวกระหายเลือดพวกนั้นก็กรูกันเข้ามาหาเขาทันที ต่อให้เขายกมือปฏิเสธไม่ให้สัมภาษณ์ก็ตาม

          "คุณนักสืบมีอะไรคืบหน้าบ้างรึเปล่าคะ?"

         "ได้ข่าวว่าระบบกันขโมยถูกปิดจริงไหมครับ?"  คำถามมากมายถูกยิงมารัวๆ ราวกับกระสุนของM16 ทำเอาใบหน้ามนถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะหันไปตอบพวกเขาเพียงสั้นๆ แล้วสาวเท้ายาวๆพยายามไปให้พ้นจากตรงนั้น

          "ตอนนี้ยังตอบอะไรไม่ได้นะครับ"

          "แล้วจริงรึเปล่าคะที่ทรัพย์สินของผู้ตายไม่ได้ถูกขโมยไป? นี่เป็นการฆ่าตัดตอนรึเปล่า?"  นักข่าวสาวรายหนึ่งกับตากล้องของเธอยังคงวิ่งตามเขาอย่างไม่ยอมลดละ แต่คำถามที่เธอยิงมาทำเอาเอเลนถึงกับหางคิ้วกระตุกถี่ยิบ

          "คุณรู้เยอะกว่าผมอีกแน่ะ เอาเป็นว่าถ้าคุณรู้อะไรเพิ่มเติมก็บอกผมด้วยก็แล้วกัน ขอตัวนะ"  เขารู้ดีว่ามีการรั่วไหลของข่าวในกรมตำรวจเป็นเรื่องปรกติ แต่บางครั้งมันก็เร็วเกินไป บ่อยครั้งที่คนร้ายไหวตัวทันเพราะคนเหล่านี้ แค่ความเห็นแก่เงินของนายตำรวจชั้นเลวบางคน มันทำให้งานของพวกเขายากลำบากขึ้นอีกเป็นเท่าตัว ต่อให้มีการกวาดล้างกันเป็นประจำแต่ก็มีคลื่นลูกใหม่เกิดขึ้นมาอีกไม่รู้จักจบสิ้นราวกับเชื้อร้ายที่ไม่มีวันรักษา


          ไม่นานพวกเขาก็มาถึงบ้านหลังดังกล่าว หญิงชราเจ้าของบ้านรีบตรงดิ่งเข้ามาหาเอเลนทันทีราวกับรอเขาอยู่ก่อนแล้ว

          "ฉันรู้จักคุณ คุณนักสืบเยเกอร์ ฉันภาวนาให้คุณช่วยออสตินหลุดพ้นจากเรื่องพวกนี้ที"  หญิงชราเจ้าของบ้านกุมมือเอเลนเอาไว้พร้อมกับส่งสายตาวิงวอนราวกับเขาจะช่วยปลดปล่อยเธอให้พ้นทุกข์ได้ก็ไม่ปาน และนั่นมันยิ่งทำให้เจ้าตัวรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

          "ออสตินอยู่ไหนครับ?"

          "ทางนี้ค่ะ"  หญิงชราเจ้าของบ้านหมุนตัวกลับ แล้วเดินพาเอเลนตรงไปยังสวนหลังบ้านของเธอ ระหว่างทางเอเลนสอบถามเธอเกี่ยวกับออสตินหลายเรื่อง จากเรื่องที่เธอเล่าเห็นได้ชัดว่าออสตินเป็นเด็กค่อนข้างเก็บตัวและเป็นหนอนหนังสือตัวยงอีกด้วย ไม่นานนักพวกเขาก็มายืนอยู่ตรงหน้าเรือนกระจกที่มีสายตรวจสามนายคอยคุ้มกันอย่างแน่นหนา

          "ช่วยแกด้วยนะคะคุณนักสืบ"  หญิงชราเจ้าของบ้านกุมมือเอเลนอีกครั้ง รอจนกระทั่งเจ้าตัวพยักหน้ารับ จึงกลับเข้าบ้านไปแล้วปล่อยที่เหลือให้เป็นหน้าที่ของเขา ใบหน้ามนจ้องมองเรือนกระจกตรงหน้าแล้วสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่

          "ผมจะพยายาม"  ริมฝีปากอิ่มพึมพำกับตัวเอง แน่นอนว่ามันเป็นคำตอบที่เจ้าตัวอยากจะบอกกับหญิงชราเจ้าของบ้านแต่ในตอนนั้นเขาไม่กล้าพอที่จะพูดมันออกไป
.
.
.
....To be con.